TISCO ESU เตือนระวังฟองสบู่หุ้นเอไอ  แนะเพิ่มทองคำ-เงิน-หุ้นสาธารณูปโภค

HoonSmart.com>> ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เตือนตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจปรับฐานแรง หลังสภาพฟองสบู่ชัด ค่า H& D พุ่ง แนะนักลงทุนเพิ่มทองไปต่อได้อีก น้ำมัน เงิน พอร์ตหลักแนะหุ้นสาธารณูปโภคพื้นฐาน คาดจีดีพีไทยปีนี้โต 1.9% 

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU ) วิเคราะห์แนวโน้มตลาดหุ้นและตลาดเงินโลก โดยชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงหลายประการที่กำลังเกิดขึ้น เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจ้างงานในสหรัฐฯ ที่ลดลง และดัชนีความประหลาดใจทางเศรษฐกิจของจีนที่ติดลบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของโลก ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งโดยปกติจะทำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

นอกจากนี้ ความอิสระของ FED ก็ถูกตั้งคำถามจากความพยายามเข้าแทรกแซงทางการเมือง ซึ่งอาจทำให้การควบคุมเงินเฟ้อในระยะยาวเป็นเรื่องยากขึ้น การวิเคราะห์ยังระบุว่า มูลค่าสินทรัพย์ในตลาดต่างๆ ดูแพง ทั้งตลาดหุ้น พันธบัตร และหุ้นกู้ โดยมีสัญญาณของฟองสบู่ที่อาจแตกตัวได้จาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่า FED จะลดดอกเบี้ยแล้วก็ตาม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ลดความเสี่ยงการลงทุน และให้ความสนใจกับหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) และโลหะมีค่าเพื่อกระจายความเสี่ยง

เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงและอัตราเงินเฟ้อกลับมาเป็นขาขึ้นพร้อมกันนั้น สร้างสถานการณ์ที่ซับซ้อนและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลมาจาก การจ้างงานได้ชะลอตัวลงอย่างมาก จากที่เคยมีการจ้างงานเดือนละเป็นแสนหรือสองแสนตำแหน่ง แต่ปัจจุบันได้ลดลงไปจนเกือบหมด เมื่อคนไม่มีงานทำ ก็จะใช้จ่ายและบริโภคน้อยลง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวลง

ดัชนี Economic Surprise Index ของสหรัฐฯ แม้จะยังเป็นบวก แต่ก็แสดงให้เห็นว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาจริง ๆ เมื่อเทียบกับที่ตลาดคาดการณ์นั้น ดีน้อยลงเรื่อย ๆ

ดัชนี China Economic Surprise Index ของจีนติดลบ ซึ่งหมายความว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์มาโดยตลอด เนื่องจากเศรษฐกิจจีนเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เคยขยายตัวได้ดี แต่ปีนี้การขยายตัวชะลอลง ดังนั้น แรงผลักดันที่เคยทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวจึงลดลง

ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อกลับมาเป็นขาขึ้น ดัชนี US economic surprise Index ได้ปรับขึ้นไปรอแล้ว ซึ่งเป็นตัวชี้นำเงินเฟ้อจริง ๆ ทำให้มีโอกาสที่เงินเฟ้อจะตามมา โดยเริ่มมีผลเต็มที่ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ความเสี่ยงด้านความเป็นอิสระของ FED ประเด็นที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับ FED เช่น การพยายามไล่บุคคลออกหรือนำคนของตัวเองเข้าไป ทำให้ความเป็นอิสระของ FED ถูกตั้งคำถาม หาก FED ไม่เป็นอิสระ สุดท้ายแล้วอาจจะคุมเงินเฟ้อไม่อยู่ นี่เป็นความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ภาวะที่ เศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อเป็นขาขึ้น นี้ ทำให้โจทย์ของ FED ยากขึ้น โดยปกติแล้ว หากเศรษฐกิจชะลอตัว FED มักจะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ย แต่การที่เงินเฟ้อเป็นขาขึ้นนี้กลับกลายเป็น อุปสรรคต่อการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ FEDไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้มากเท่าที่ควร

ด้านสุดท้าย คือระดับราคาของสินทรัพย์ (Valuation) ในตลาดที่อยู่ในระดับสูงมาก ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ โดยตลาดหุ้นหลายแห่งทั่วโลกทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง และมีค่า P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเป็นอย่างมาก ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ก็สะท้อนถึงความแพงเช่นกัน จากส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาล (Credit Spread) ที่อยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในประวัติการณ์ ซึ่งหมายความว่า นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับความเสี่ยง

จากทั้ง 3 ปัจจัยนี้ TISCO ESU ประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯจะมี Upside ที่จำกัด และมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงราว 5-10% จากระดับปัจจุบัน โดยตัวกระตุ้นสำคัญอาจมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ที่เริ่มกลับตัวเป็นขาขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อระดับ Valuation ของตลาด

ด้วยเหตุผลดังกล่าว TISCO ESU จึงแนะนำให้นักลงทุนปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีรายได้แน่นอน และไม่ผันผวนไปตามวัฏจักรของเศรษฐกิจมากนัก เช่น กลุ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Utilities) และกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มโลหะมีค่า เช่น ทองคำ มากขึ้น

ระวังฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยี AI

นายธนทัช ศรีสวัสดิ์ นักกลยุทธ์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า ปัจจุบันมูลค่าของตลาดหุ้นสหรัฐสูงเกินไป การฟื้นตัวของสภาพคล่องในตลาดทุนจากการลดดอกเบี้ยของเฟด และกระแสความร้อนแรงของ AI ได้ผลักดันให้หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ Super Stock แห่งยุคอย่าง NVIDIA ราคาพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง และแรงหนุนนี้ยังขยายไปยังหุ้นกลุ่มอื่น ๆ จนดัชนี S&P 500 ทะลุ 6,600 จุดเป็นครั้งแรก แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะอ่อนแรงลง ปรากฏการณ์ดังกล่าวเริ่มสร้างความกังวลในกลุ่มนักวิเคราะห์ว่า Valuation ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ตลาดกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของภาวะฟองสบู่ คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในยุคดอทคอมเมื่อ 25 ปีก่อน

TISCO ESU ได้นำโมเดล “Hopes and Dreams :H&D” มาใช้ในการประเมินมูลค่าหุ้น ด้วยการเอามูลค่า Book Value คูณกับกำไรคาดการณ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า รวมกัน อยู่ที่ 20 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เป็นความคาดหวังและความฝัน มีมูลค่า 37 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดย H&D มีสัดส่วนสูงเกือบ 66% ของมูลค่ารวม 57 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้น้ำหนักสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงโควิดซึ่งอยู่ที่ 45% สะท้อนความเสี่ยงสูงขึ้น สัดส่วนที่จะทำกำไรได้ดีลดลง ระดับของ H&D ใกล้เคียงกับภาวะ ฟองสบู่ดอทคอม ในปี 2000

ทั้งนี้ มีความเสี่ยงที่คงตลาดหุ้นสหรัฐอาจมีการปรับฐาน เนื่องจากตลาดกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยความคาดหวังในเรื่อง AI เป็นหลัก ซึ่งบ่งชี้ว่าผลตอบแทนในอีก 10 ปีข้างหน้าอาจจะต่ำมาก

ตลาดมองทองในระยะยาวแตะ 4,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จากปัจจุบัน 3,600 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เป็นทางเลือกที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงเวลาที่หุ้นมีราคาแพงเช่นนี้

เนื่องจาก นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลสหรัฐและวินัยทางการเงินที่ลดลง จึงความมั่นใจในพันธบัตรระยะยาว โดยเฉพาะพันธบัตรอายุ 30 ปี เนื่องจากมีความวุ่นวายทางการเมือง ในสถาบันการเมืองที่ยุโรปไม่มีรัฐบาลเสียงข้างมาก และนโยบายทางการเงินที่ดูจะมีเสถียรภาพน้อยลง

ความพยายามที่จะเข้าควบคุมธนาคารกลาง ของทรัมป์ฯ ที่จะควบคุมเฟดให้ลดดอกเบี้ยทำให้ความเชื่อมั่นลดลง

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว (Bond Yield 30 ปี) ปรับตัวสูงขึ้น ในประเทศพัฒนาแล้วเกือบทุกประเทศในปีนี้

อัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นนี้สะท้อนว่า นักลงทุนเชื่อมั่นในระบบสกุลเงิน (currency system) และวินัยของรัฐบาลตนเองน้อยลง

นักลงทุนจะมองหาสินทรัพย์ที่อยู่นอกเหนือจากระบบสกุลเงิน ซึ่งสินทรัพย์ดั้งเดิมที่ทำผลตอบแทนได้ดีคือ ทองคำ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วโลกว่า หากไม่ไว้ใจรัฐบาลหรือไม่ไว้ใจธนาคารกลาง เงินก็จะวิ่งเข้าสู่ทองคำ

การเคลื่อนไหวของส่วนต่างระหว่าง Bond Yield 30 ปี ลบด้วย 2 ปี (Yield Curve) ในหลายประเทศ เคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาทองคำและแร่เงินอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ ซึ่งสะท้อนว่าการที่ราคาทองคำถูกดันขึ้นมาจากส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากรัฐบาลและธนาคารกลางเริ่มมีนโยบายที่ไม่หนักแน่นเท่าแต่ก่อน

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อน ทองไปต่อ

ราคาทองคำหลักๆ มักจะอ้างอิงในหน่วยดอลลาร์ โดยดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาทองคำมักจะอยู่ตรงข้ามกัน (ขั้วตรงกันข้าม)

ในปีปัจจุบัน ดอลลาร์อ่อนค่าไปแล้วประมาณ 11-12% ซึ่งถือเป็นการอ่อนค่าครั้งใหญ่ที่หาได้ยากในประวัติศาสตร์ย้อนหลัง 50 ปี โดยเคยมีมากกว่านี้แค่ปีเดียวคือปี 1986

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ราคาทองคำ ณ วันนี้ได้ปรับขึ้นมาจากต้นปีแล้ว 40% (เคยมีเพียงปีเดียวคือปี 1979 ที่สูงขึ้นกว่านี้)

นักลงทุนกำลังหา สินทรัพย์ที่จะป้องกันความเสี่ยงจากการถือครองดอลลาร์ เนื่องจากมองเห็นโอกาสที่ดอลลาร์จะเสื่อมค่าและอ่อนค่าลงในระยะยาว ดังนั้น เงินจึงวิ่งเข้าหาสินทรัพย์ที่อยู่ขั้วตรงข้ามอย่างทองคำ

ในช่วงแรกหลังเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ผู้ซื้อทองคำหลักๆ คือ ธนาคารกลางในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เช่น จีน, ไทย, ตุรกี, อินเดีย ที่พยายามลดบทบาทของดอลลาร์ในเงินสำรองของตน

ปัจจุบัน เงินที่ไหลเข้าซื้อทองคำเริ่มมาจาก นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันที่เป็นเอกชน มากขึ้น

Flow ของเงินที่ไหลเข้าไปในกองทุน ETF ทองคำนั้นอยู่ในโซนที่สูงและแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน เงินที่ไหลเข้าสู่ทองคำยังคงมาจากเอเชียเป็นหลัก แต่กลุ่มคนยุโรปและอเมริกา (คนตะวันตก) มีทองคำน้อยมาก มีการสำรวจพบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของนักลงทุนในอเมริกาบอกว่ามีทองคำ 0% ในพอร์ต

ในอนาคต หากคนยุโรปและอเมริกาตื่นตัวและหันมาสนใจลงทุนทองคำเพิ่มขึ้น มูลค่าของทองคำก็จะยิ่งมี อัพไซด์เพิ่มขึ้นอีก

นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญคือ ปริมาณเงินทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จากประมาณ 55 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นประมาณ 115 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วน 21% จุดสูงสุดเดิมอยู่ที่ 18% เมื่อปร 2554

ในขณะที่ปริมาณทองคำทั้งโลกเพิ่มขึ้นได้น้อยมาก ทั่วโลกมีทองทั้งหมด 2 แสนตัน และในแต่ละปี จะสามารถขุดได้เพิ่มเพียงประมาณ 2 พันตันต่อปี

ทองคำจึงมีบทบาทสำคัญในการเป็น ตัวป้องกันความเสื่อมค่าของเงินเ(เงินดอลลาร์และสกุลอื่นๆ)

แม้ราคาทองคำในหน่วยดอลลาร์จะดูแพงขึ้นมาก แต่เมื่อเทียบมูลค่าทองคำกับปริมาณเงินทั้งโลกแล้ว สัดส่วนดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 18% ในปี 2011 มาอยู่ที่ประมาณ 21% เท่านั้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเพดานราคาของทองคำจริง ๆ อาจสูงกว่าที่หลายคนคาดคิด

ด้านแร่เงิน (Silver) ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับทองคำ โดยบวกมาประมาณ 30–40% ตั้งแต่ต้นปี และปัจจุบัน ราคาประมาณ 43 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ถือเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2011 หากบรรยากาศโลกยังคงเป็นแบบนี้และทองคำยังมีแรงส่งต่อ เงินก็น่าจะไปต่อด้วย โดยมีโอกาสที่จะกลับไปทำจุดสูงสุดเดิมแถวๆ 47-48 เหรียญสหรัฐฯได้ในปีหน้า

อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุนควรถือทองคำ เงิน น้ำมัน บิทคอยน์รวมกันไม่เหิน 5% ของพอร์ต เพื่อลดความผันผวน

ขณะที่ พอร์ตหลักยังเป็นหุ้น โดยให้หันไปลงทุนกลุ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน รองลงมาตราสารหนี้ระยะสั้น โดยสัดส่วนขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและเป้าหมายทางการเงินของแต่ละคน

คาดเฟดลดดอกเบี้ยน้อยกว่าตลาดคาด

นายธนภัทร ธนชาต นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ประเมินว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยนโยบายลงน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับต่ำกว่า 3.0% โดยมองว่า ณ สิ้นปี 2569 อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะอยู่ที่ระดับ 3.25-3.50% หรือปรับลดลงราว 0.75% จากระดับปัจจุบันที่ 4.00-4.25%

การคาดการณ์ดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงกว่าระดับเป้าหมาย 2.0% ต่อเนื่อง 2.โครงสร้างตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยอุปสงค์แรงงานชะลอตัวลงพร้อมกับอุปทานแรงงาน ส่งผลให้การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานนั้นค่อนข้างจำกัด 3.เครื่องชี้ภาวะตลาดแรงงาน อาทิ อัตราการลาออกแบบสมัครใจ การจ้างงงานนอกภาคเกษตรที่ชะลอตัวลงอย่างฉับพลันในช่วงที่ผ่านมา

ด้านเศรษฐกิจยุโรป แผนการปรับลดรายจ่ายของอดีตนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส แม้จะมีความชัดเจน แต่โอกาสนำไปปฏิบัติจริงอาจเป็นไปได้น้อย เพราะรัฐบาลใหม่ยังเป็นเสียงข้างน้อย และต้องเจรจากับฝ่ายค้าน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ฝรั่งเศสอาจถูกปรับลดอันดับเครดิตลง โดยทั้ง Fitch Rating, Moody และ S&P ระบุในทางเดียวกันว่า หากฝรั่งเศสไม่สามารถลดการขาดดุลการคลังและควบคุมการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะได้ ก็อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในอนาคต

คาด GDP ปีนี้โต 1.9%

นายเมธัส รัตนซ้อน หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 1.9% และลดลงเหลือ 1.6% ในปีหน้า แม้ครึ่งปีแรกขยายตัวกว่า 3% แต่เป็นผลจากแรงหนุนชั่วคราว เช่น การเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีของสหรัฐฯ

ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัวจากหลายปัจจัย ได้แก่ การบริโภคเอกชนลดลง การลงทุนรัฐสะดุด นักท่องเที่ยวอาจต่ำกว่าคาด ค่าเงินบาทแข็งเกินพื้นฐาน และผลกระทบจากภาษีศุลกากรสหรัฐฯ โดยเฉพาะต่อผู้ประกอบการรายเล็ก

แม้ ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.50% แต่มองว่ายังสูงเกินไปเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโตต่ำและเงินเฟ้อต่ำ คาดอาจลดลงอีกจนถึง 0.75% กลางปี 2569

มาตรการ “คนละครึ่ง 2.0” อาจช่วยพยุงเศรษฐกิจได้บางส่วน แต่ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากเงินออมลดลง หนี้ครัวเรือนสูง และงบประมาณจำกัด

ประเด็นค่าเงินบาท คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะอ่อนตัว อยู่ที่ 32.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยยังเป็นที่กังวล ในส่วนของเงินทุนไหลเข้าไม่ทราบที่มาที่เพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาทต่อเดือน จากปกติ 3- 4 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ซึ่งอาจเป็นเงินสีเทา ล่าสุดนายกฯ ได้หารือกับสมาคมธนาคารแล้ว