ดาวโจนส์ปิดลบ 88 จุด ประธานเฟดชี้ราคาหุ้นค่อนข้างสูง

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดร่วง ดาวโจนส์ลดลง 88 จุด หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ส่งสัญญาณจะดำเนินการอย่างระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม พร้อมชี้มูลค่าหุ้นปัจจุบันอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวเพิ่มขึ้น ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 22 กันยายน 2568 รวมทั้งดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ถอยลงจากที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดกันสามวัน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เจอโรม พาวเวลล์ ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางจะดำเนินการอย่างระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม และชี้ว่ามูลค่าหุ้นปัจจุบันอยู่ในระดับค่อนข้างสูง

ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 46,292.78 จุด ลดลง 88.76 จุด, -0.19%
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,656.92 จุด ลดลง 36.83 จุด, -0.55%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,573.47 จุด ลดลง 215.50 จุด, -0.95%

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองพรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดกล่าวว่า เฟดจะดำเนินการอย่างระมัดระวังหลังจากกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยตระหนักถึงความท้าทายในการรักษาสมดุลของภารกิจสองด้านในขณะนี้

“ความเสี่ยงระยะสั้นต่อเงินเฟ้อมีแนวโน้มไปทางบวก และความเสี่ยงด้านการจ้างงานมีแนวโน้มทางลบ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ท้าทาย ความเสี่ยงสองด้านหมายความว่าไม่มีเส้นทางใดที่ไม่มีความเสี่ยง” พาวเวลล์กล่าว

นอกจากนี้เมื่อได้รับคำถามว่าเขาและเจ้าหน้าที่เฟดให้ความสำคัญกับราคาหุ้นมากน้อยเพียงใด และยอมรับมูลค่าที่สูงขึ้นได้หรือไม่ พาวเวลล์ ระบุว่า ราคาสินทรัพย์ ซึ่งโดยทั่วไปจะรวมถึงหุ้นและตราสารเสี่ยงอื่นๆ กำลังอยู่ในระดับสูง

“เราพิจารณาถึงสภาพคล่องทางการเงินโดยรวม และตั้งคำถามกับตัวเองว่านโยบายของเราส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินในลักษณะที่เราพยายามจะบรรลุผลหรือไม่” พาวเวลล์กล่าว

“แต่เมื่อพิจารณาจากหลายตัวชี้วัด ยกตัวอย่างเช่น ราคาหุ้นมีมูลค่าค่อนข้างสูง”

หุ้นปรับตัวลดลงหลังจากคำกล่าวของพาวเวลล์ โดยดัชนีหลักทั้งหมดซื้อขายในแดนลบ

ความคิดเห็นของพาวเวลล์เป็นการเตรียมการสำหรับนักลงทุนก่อนการรายงานดัชนีรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (Personal Consumption Expenditures price index) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ เฟดให้ความสำคัญในวันศุกร์ ที่จะมองหาสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้อที่ยังหนืดอยู่นี้จะไม่ร้อนแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความคาดหวังที่สูงสำหรับการลดอัตราดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปีนี้

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เผยแพร่เมื่อวานแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมทางธุรกิจของสหรัฐฯ ชะลอตัวลงในเดือนนี้ ขณะที่ราคาที่จ่ายสำหรับวัสดุปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงกดดันด้านราคายังคงมีอยู่

S&P Global รายงาน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นเดือนกันยายนลดลงมาที่ 53.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จาก 54.6 ในเดือนสิงหาคม โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น ลดลงมาที่ 52.0 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จาก 53.0 ในเดือนสิงหาคม ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น ลดลงมาที่ 53.9 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จาก 54.5 ในเดือนสิงหาคม

ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่ใจต่อความยั่งยืนของแนวโน้มขาขึ้นของ AI

หุ้น Nvidia ร่วงลง 2.8% หลังจากที่ประกาศการลงทุน 1 แสนล้านดอลลาร์ใน OpenAI ซึ่งช่วยหนุนราคาหุ้นและตลาดหุ้นโดยรวมในวันก่อนหน้า นักลงทุนบางรายกำลังประเมินข้อตกลงระหว่างลูกค้าและซัพพลายเออร์ เนื่องจากคล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงฟองสบู่ดอทคอม นักลงทุนยังตั้งคำถามว่าบริษัท AI ชั้นนำทั้งสองแห่งนี้มีแรงมากพอที่จะขับเคลื่อนแผนการเติบโตของบริษัทหรือไม่

หุ้น Oracle ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ใน 3เดือนจากคาดการณ์ยอดขาย AI ในแง่บวกลดลง 4.4%

สำหรับหุ้นรายตัวอื่น ๆ หุ้น Lithium Americas พุ่งสูงถึง 90% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด หลังจากที่สำนักข่าว Reuters รายงานว่ารัฐบาลของทรัมป์กำลังพิจารณาลงทุนมากถึง 10% ในบริษัทเหมืองแร่และเคมีภัณฑ์แห่งนี้

นักลงทุนยังจับตาความเป็นไปได้ที่หน่วยงานรัฐบาลจะปิดทำการก่อนกำหนดเส้นตายวันที่ 30 กันยายนนี้มากขึ้น หลังจากที่วุฒิสภาปฏิเสธข้อเสนอของพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตที่ให้จัดสรรงบประมาณให้รัฐบาลกลางอย่างน้อยก็ชั่วคราวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อวันอังคารประธานาธิบดี ทรัมป์ได้ยกเลิกการประชุมที่วางแผนไว้กับสมาชิกระดับสูงของพรรคเดโมแครตในรัฐสภาในสัปดาห์นี้ โดยระบุว่าไม่มีการประชุมใดที่จะเกิดประโยชน์เลย

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกแตะระดับสูงสุดในรอบกว่าสัปดาห์ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นบริษัทสินค้าฟุ่มเฟือยที่ปรับตัวสูงขึ้นจากการใช้จ่ายในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น และหุ้นพลังงานลมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากศาลตัดสินว่าบริษัท Orsted สามารถเริ่มดำเนินการในโครงการนอกชายฝั่งของสหรัฐฯ อีกครั้งได้

ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาคปิดบวก โดยหุ้นโปรตุเกสปิดตัวในระดับสูงสุดในรอบกว่าสามสัปดาห์ หลังจากที่งบประมาณปี 2025 ยังคงเกินดุล ซึ่งทำให้โปรตุเกสสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินลงได้อย่างต่อเนื่อง

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 554.95 จุด เพิ่มขึ้น 1.55 จุด, +0.28%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,223.32 จุด ลดลง 3.36 จุด, -0.04%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,872.02 จุด เพิ่มขึ้น 41.91 จุด, +0.54%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,611.33 จุด เพิ่มขึ้น 84.28 จุด, +0.36%

หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยอย่าง LVMH, L’Oreal และ Richemont ต่างก็ติด 10 อันดับแรกของหุ้นที่ปรับตัวขึ้นในดัชนี STOXX ข้อมูลจาก BofA แสดงให้เห็นว่ายอดใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยของชาวอเมริกันกลับมาเป็นบวกในเดือนกันยายนเป็นครั้งแรกในรอบ 37 เดือน

ราคาหุ้น Orsted พุ่งขึ้น 4% หลังจากผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตัดสินว่าผู้พัฒนาโครงการกังหันลมนอกชายฝั่งของเดนมาร์กสามารถกลับมาดำเนินงานในโครงการฟาร์มกังหันลมที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์นอกชายฝั่งรัฐโรดไอแลนด์ได้อีกครั้ง

หุ้นกลุ่มค้าปลีกพุ่งขึ้นเกือบ 2% โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้น Kingfisher บริษัทค้าปลีกอุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน ที่พุ่งขึ้น 14.6% หลังจากที่ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรทั้งปี

ดัชนีเทคโนโลยีโดยรวมเพิ่มขึ้น 0.6% จากที่ลดลงในช่วงเช้า หลังจากหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐพุ่งสูงขึ้น ขณะที่ Nvidia ประกาศว่าจะเพิ่มการลงทุนสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ใน OpenAI และจัดหาชิปศูนย์ข้อมูลให้กับ OpenAI

กลุ่มเฮลธ์แคร์ลดลง 1.2% จากที่ปรับขึ้นรายวันติดต่อกันยาวนานที่สุดในรอบกว่าหนึ่งเดือน โดยหุ้นบริษัทผลิตยา Roche และ Novo Nordisk ต่างร่วงลงมากกว่า 2%

สำหรับการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ การเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากอำนาจทางการคลังของเยอรมนีที่ช่วยชดเชยความกังวลทางเศรษฐกิจของฝรั่งเศส แต่ข้อมูลสำคัญแสดงให้เห็นว่าความไม่แน่นอนอาจกำลังก่อตัวขึ้นเพราะมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจของฝรั่งเศสหดตัวลงในช่วงเดียวกัน ขณะที่ภาคธุรกิจของอังกฤษประสบกับแรงส่งและความเชื่อมั่นเริ่มลดลง

ในสวีเดน ธนาคารกลางได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1.75% และส่งสัญญาณการระงับการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานาน ดัชนีตลาดหุ้นสตอกโฮล์มเพิ่มขึ้น 0.7% หลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบหนึ่งเดือน

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 1.13 ดอลลาร์ หรือ 1.81% ปิดที่ 63.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 1.06 ดอลลาร์ หรือ 1.59% ปิดที่ 67.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–