HoonSmart.com>>บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ประกาศขยายขนาดธุรกิจเต็มสูบปี’68-ปี’69 ทรานสฟอร์มสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารความมั่งคั่ง ตั้งเป้ากำไรแตะ 1,000 ล้านบาทภายในปี 2573 หวังสัดส่วนรายได้อื่นขยับขึ้นมาเป็น 50% จาก 30% ค่าคอมฯ 50% จ่อเปิดธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลจับกลุ่มลูกค้าเวลท์ ลั่นยังไม่สนทำ HFT เหตุลงทุนระบบสูงค่าฟีบาง แย้มอนาคตถ้าเศรษฐกิจไทยโตดีอาจมีแบงก์เพิ่ม
นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทมีความพร้อมในการลงทุนเพื่อขยายขนาดธุรกิจ (Scale Up) อย่างเต็มรูปแบบ โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2568 ต่อเนื่องถึงปี 2569 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
บริษัทตั้งเป้าหมายว่าในปี 2573 จะสามารถสร้างกำไรสุทธิแตะระดับ 1,000 ล้านบาท โดยจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจ หรือ IB,ธุรกิจผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคล และธุรกิจอื่นๆ เป็น 50% และรายได้จากค่าคอมมิชชั่นธุรกิจหลักทรัพย์ 50% จากปัจจุบัน 70% เพื่อให้เกิดความสมดุลมากขึ้นและไม่พึ่งพารายได้จากค่าคอมมิชชั่นมากเกินไป เนื่องจากการแข่งขันรุนแรง และมีคู่แข่งรายใหม่ที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิมเกิดขึ้น โดยจะมีการพัฒนาบริการผ่านแอปพลิเคชัน การเพิ่มบุคลากร และการขยายผลิตภัณฑ์การลงทุนมากขึ้น
“เรายังไม่สนใจทำ High-Frequency Trading (HFT)เพราะลงทุนระบบเทคโนโลยีสูง แต่ค่าคอมมิชชั่นต่ำ เพราะมีการแข่งขันรุนแรง เราเน้นการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การบริหารความมั่งคั่งได้ถูกต้อง จะทำให้ลูกค้าได้ผลตอบแทนมหาศาล แล้วรายได้ของบริษัทจะตามมาเอง รวมถึงเพิ่มบริการอื่นๆ ให้มากขึ้น”นายอารภัฏ กล่าว
นายอารภัฏ คาดว่าปี 2568 จะมีกำไรไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ชะลอตัวลงจากปี 2567 ที่มีกำไรกว่า 500 ล้านบาทเล็กน้อย แต่ทำกำไรให้กลุ่มเมย์แบงก์อยู่ในอันดับที่ 3 ของธุรกิจหลักทรัพย์ที่ดำเนินงานอยู่ใน 7 ประเทศอาเซียน และมีเป้าหมายที่จะรักษาระดับนี้ไว้ให้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยส่วนแบ่งตลาดวอลุ่มเทรดของลูกค้ารายย่อยในระดับ 7.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี 2567-2568 จากก่อนหน้าที่จะอยู่ประมาณ 5% ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มท็อป 3 ของตลาด เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมดในตลาด กว่า 60% มีส่วนแบ่งเฉลี่ยเพียง 2% เท่านั้น ภายใต้สภาวะการแข่งขันที่รุนแรง มาร์จิ้นจากค่าคอมมิชชั่นธุรกิจหลักทรัพย์ลดลงอย่างมาก วอลุ่มการซื้อขายไม่สูงเหมือนในอดีต
ขณะที่มีฐานลูกค้ากว่า 150,000 ราย ครอบคลุมกลุ่ม Ultra High Net Worth นักลงทุนรายใหญ่พิเศษ กลุ่ม High Net Worth ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่บริษัทมีความแข็งแกร่งสูง และยังคงเหนียวแน่นกับบริษัท รวมถึงนักลงทุนระดับกลางที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า กำไรจากลูกค้ากลุ่มนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปัจจุบัน
ปรับเพื่อโต
การที่ยังรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ เป็นผลจากการปรับโครงสร้างการดำเนินงานครั้งใหญ่ในช่วงปี 2563–2565 เป็นช่วงหลังเกิดโควิดภาพรวมของลูกค้าเทรดหุ้นระหว่างรายย่อยและสถาบัน เปลี่ยนแบบหมุนกลับด้าน ก่อนโควิดลูกค้ารายย่อย มีสัดส่วนถึง65% ของตลาด สถาบัน 35%
หลังโควิดเป็นต้นมาลูกค้ารายย่อยลดลงอย่างมากเหลือประมาณ 30% สถาบันเริ่มใหญ่ขึ้นมา
มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยลดลงจากระดับเฉลี่ย 6 หมื่นล้านบาทต่อวัน เหลือ 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน บางวันไม่ถึง 3 หมื่ล้านบาท ส่งผลให้ค่าคอมมิชชั่นลดลงอย่างมาก
การใช้ดิจิทัล (digital adoption) ได้เพิ่มสูงขึ้นมากที่ส่งผลให้พฤติกรรมผู้ลงทุนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นักลงทุนมีความรู้มากขึ้นและสามารถตัดสินใจซื้อขายหุ้นด้วยตนเองมากขึ้น ไม่ได้พึ่งพาคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่การตลาดเหมือนในอดีตเพียงอย่างเดียว ลูกค้ามีการเทรดหุ้นผ่านดิจิทัลด้วยตัวเองมากขึ้น
มีคู่แข่งรายใหม่ ๆ ที่เป็นดิจิทัลเข้ามา ทำให้บริษัทที่มีขนาดเล็กจะเผชิญความยากลำบากในการแข่งขัน และไม่สามารถดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิม มีการแข่งลดค่าคอมมิชชันกันสูง
เกิดความโกลาหลและเกิดความวุ่นวายในธุรกิจหลักทรัพย์ ทำให้มองว่าจะทำธุรกิจแบบเดิมไม่ได้แล้ว เป็นโอกาส เป็น window of opportunity ในการเปลี่ยนแปลง ปรับกลยุทธ์ใหม่ และต้องการปรับให้เร็วกว่า เพื่อที่จะเป็นผู้นำด้านกำไรและส่วนแบ่งการตลาด
ช่วงปี 2563 จึงเริ่มต้นทำการเปลี่ยนแปลงองค์กรครั้งใหญ่ และกำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจนเพื่อรับมือกับภาวะตลาดที่มีความผันผวนและคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่และส่งผลต่อทุกส่วนในองค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายขนาดธุรกิจในอนาคต ถ้าธุรกิจเล็กเกินไปก็ไม่มีทางทำกำไรและอยู่รอดได้
หลักๆคือการให้ความสำคัญกับลูกค้ารายบุคคลที่มีอยู่ 1.5 แสนราย มุ่งสู่การให้บริการคำแนะนำการลงทุน มีสินค้าด้านการลงทุนแบบครบวงจร เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายทางการลงทุนของลูกค้าออกแต่ละกลุ่ม ทั้ง กลุ่ม Ultra High Net Worth ที่เป็นจุดแข็งของบริษัท นักลงทุนรายใหญ่ของประเทศส่วนใหญ่จะอยู่ที่นี่ และเป็นกลุ่มที่ทำกำไรกำไรให้กับบริษัท,ลูกค้ากลุ่มระดับกลางและกลุ่มแมส แม้จะมีการมุ่งเน้นลูกค้ารายใหญ่ แต่จะไม่ทอดทิ้งลูกค้าแมสอย่างแน่นอน
ในแผนปรับเปลี่ยนเพื่อการเติบโตในอนาคต เลือกที่จะ ไม่ทำ HFT (High-Frequency Trading) เนื่องจากมองว่ามีความขัดแย้งบางประการ และตลาดจะยังมีความกังวลกันถึงผลกระทบของ HFT ต่อตลาด ทั้งยังมีการลงทุนในระบบเทคโนโลยีสูง แต่รายได้ค่าคอมมิชชั่นต่ำ
กลยุทธ์หลักในการวางแผนการเติบโตครั้งใหม่ มุ่งที่เน้นการลงทุนในบุคลากร เทคโนโลยี การขยายผลิตภัณฑ์ และการให้คำปรึกษาที่มีมูลค่าสูง แทนที่จะแข่งขันด้านราคา มุ่งไปที่การเพิ่มผลิตภัณฑ์การลงทุนให้หลากหลายตามกลุ่มลูกค้า มีการออกแบบสินค้าเฉพาะกลุ่ม ให้เหมาะกับโปรไฟล์ของลูกค้า ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ทั่วไป ตราสารหนี้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note) กองทุน DR โดยเคยเป็นผู้บุกเบิกในการทำ Structure Note ที่เป็น Underlying ต่างประเทศ แต่ออกเป็น เงินบาท ซึ่งประสบความสำเร็จมาก
มีการขายผลิตภัณฑ์ในตลาดแรก ทั้งฝั่งหุ้นและตราสารหนี้ และมีแผนจะขึ้น secondary Market Bond ภายในปีนี้
รวมถึงการหาพาร์ทเนอร์ในเรื่องของการขายประกันด้วยปัจจุบันสัดส่วนของการเทรดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่หุ้น (non-equity) ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกือบจะถึง 20%
พร้อมกันนี้ ได้เพิ่มบุคลากร เพื่อให้องค์กรมีขนาดใหญ่พอในการขับเคลื่อนเป้าหมายการเติบโตในอนาคต ซึ่งในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี เป็นจังหวะดีที่ดึงดูดคนเก่งๆจากสถาบันการเงินอื่น ๆ เข้ามาในทีม เพราะคนเชื่อมั่นในองค์กรมีความมั่นคงทางด้านเงินทุนสูง จากบริษัทแม่ที่มีขนาดใหญ่เท่ากับธนาคารขนาดใหญ่ของไทย 2 แห่งรวมกัน
มีการลงทุนในทีม Research ที่เป็นสมองขององค์กร ทำงานร่วมกับเอไอ เพราะเอไอไม่สามารถเลือกหุ้นได้เอง จึงจำเป็นต้องมีทีมวิจัยให้คำแนะนำ ทีมนี้มีบุคลากร 20 คน วิเคราะห์หุ้นที่ครอบคลุมมาร์เก็ตแค็ปรวมกันคิดเป็น 80% ของมูลค่าตลาดรวม มีเจ้าหน้าที่การตลาดและผู้แนะนำการลงทุนรวมกว่า 400 คน และตั้งเป้าเพิ่มเป็นมากกว่า 500 คน การสร้างทีมในลักษณะนี้มีต้นทุนที่สูงมาก
พร้อมปรับใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อพัฒนานวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
บริษัทฯเริ่มขยายฐานลูกค้าสถาบันอย่างจริงจังหลังโควิด โดยในปี 2567 ได้รับรางวัลบริษัทหลักทรัพย์ที่มีความยอดเยี่ยมด้านการให้บริการแก่นักลงทุนสถาบันและ บริษัทหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพในการบริหารองค์กรโดดเด่นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Awards) หลังจากใช้เวลาในการสร้างฐานลูกค้ากลุ่มนี้ 18 เดือน
ในปีเดียวกัน งานวาณิชธนกิจ (IB) เป็นที่ 1 ด้านการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) มากที่สุด แม้ในปี 2568 จะยังไม่มี IPO ใหม่ เนื่องจากลูกค้าขอรอดูสถานการณ์ตลาดก่อน และมีโอกาสที่จะ IPO 1 บริษัทในปลายปีนี้
“วันนี้เราเป็นที่ 1 ด้านวอลุ่มเทรดลูกค้ารายย่อย เป็นที่ 1 ลูกค้าสถาบัน และเคยเป็นที่ 1 ด้าน IPO เราคาดหวังว่าในปี 2573 เราจะเป็นที่ 1 ในทุกด้าน”นายอารภัฏ กล่าว
นายอารภัฏ กล่าวว่า ปลายปีนี้ มีแผนเปิดธุรกิจใหม่ คือ กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) เพื่อรองรับกลุ่ม Ultra High Net Worth หรือ นักลงทุนรายใหญ่พิเศษ ที่ต้องการบริหารความมั่งคั่ง ส่งต่อมรดก และถ่ายทอดธุรกิจสู่รุ่นต่อไป โดยอาศัยจุดแข็งของบริษัทแม่ คือ ธนาคารเมย์แบงก์ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ทั่วอาเซียน ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลวิจัย วิเคราะห์ และข้อมูลระดับภูมิภาค เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจลงทุนของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ หากธุรกิจเติบโตดี อาจจะขยับฐานะขึ้นเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ.ที่ครั้งหนึ่งทางบล.เมย์แบงก์เคยทำมาแล้วก่อนที่จะขายออกไป รวมถึงหากเศรษฐกิจและธุรกิจในไทยขยายตัวได้ดี อาจจะมีธนาคารในไทย โดยธนาคารเมย์แบงก์ ที่เป็นบริษัทแม่ ถือเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ในภูมิภาคนี้
จ่อเปิดกองทุนส่วนบุคล
น.ส.เนธิตา กระบวนรัตน์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายบริหารการลงทุน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทฯต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Advisory) โดยจะเสริมทีมที่ปรึกษาการลงทุนด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เชิงลึก พร้อมพัฒนาทักษะของทีมงานให้สามารถให้คำแนะนำได้อย่างครบถ้วนและรอบด้าน เพื่อส่งมอบประสบการณ์การลงทุนที่แตกต่าง
นอกจากนี้ เตรียมเปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ที่สามารถตรวจสุขภาพทางการเงินของลูกค้า ให้คำแนะนำในการจัดพอร์ตและเลือกผลิตภัณฑ์ลงทุน โดยลูกค้าจะได้รับข้อมูลแบบเรียลไทม์ พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัย และมีที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำด้านกลยุทธ์การลงทุนอย่างใกล้ชิด
แม้ตลาดหุ้นไทยจะมีเสน่ห์ลดลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน จากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำ การขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ และปัจจัยทางการเมือง บริษัทฯ ยังคงมองเห็นโอกาส โดยคาดว่า GDP ปีนี้จะโตที่ระดับ 1–2% ซึ่งถือว่าเหนื่อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนามที่มีเป้าหมายการเติบโต 10% ต่อปีด้านดัชนี SET สิ้นปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1,290 จุด ความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้สัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนในประเทศและวอลุ่มในตลาดลดลง
ส่วนปี 2569 คาดว่า GDP จะเติบโตในระดับเดียวกัน โดย SET จะอยู่ที่ 1,370 จุด ภายใต้ EPS ที่ 6% และ P/E ที่ 14.5 เท่า
นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงลงทุนในหุ้นไทย แต่มีแนวโน้มลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ (DR) เพิ่มขึ้น หลังจากมีการจัดเก็บภาษีกำไรจากการลงทุนในต่างประเทศเมื่อมีการนำกำไรกลับมา อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการลงทุนใน DR ยังไม่มากนัก
“วอลุ่มเทรด DR เติบโตอย่างรวดเร็ว ปีนี้เราเป็นเบอร์หนึ่งในการเทรด DR ในตลาด แม้จะไม่ได้ออก DR เอง โดยเราได้ร่วมมือกับผู้ออกรายใหญ่ คือ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะมาร์เก็ตเมคเกอร์ นอกจากนี้ ยังเห็นว่าลูกค้าหันมาเทรดสินค้าที่ไม่ใช้หลักทรัพย์ หรือ non equity มากขึ้นสัดส่วนเกือบ 20% ของวอลุ่มเทรดในแต่ละวัน ผลจากลูกค้ามองหาทางเลือกที่สามารถทำรายได้ที่โตเร็วกว่าหุ้นไทยที่ชะลอตัว”น.ส.เนธิตา กล่าว
น.ส.เนธิตา กล่าวว่า บริษัทฯมีแผนเปิดกองทุนส่วนบุคคล ซึ่งอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. คาดว่าจะสามารถจัดตั้งได้ภายในปีนี้ พร้อมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และในปี 2569 จะมีการออกหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note) จำนวน 5–6 แบบ เพื่อให้มีสินค้าครบวงจรรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเวลท์
ที่ผ่านมา ได้รับความไว้วาางใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี จากการที่ได้รับการสนับสนุนจาก Maybank Group ซึ่งมีเครดิตเรทติ้ง (Credit Rating) สูงสุดในกลุ่มสถาบันการเงิน (A) ทำให้มีความมั่นคงสูงมาก
———————————————————————————————————————————————————–

