“หุ้นโตเกียว-เอเชีย” เช้านี้บวก ธนาคารกลางจีนคงดอกเบี้ย

HoonSmart.com>>”ตลาดหุ้นเอเชีย” เช้านี้บวก นำโดยหุ้นญี่ปุ่น หลังธนาคารกลาง(BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวันศุกร์ ประกาศแผนการขายกองทุน ETF ที่ถือครองไว้มหาศาล ช่วยนักลงทุนคลายกังวล ด้านธนาคารกลางจีน (PBOC) คงอัตราดอกเบี้ยเช้านี้

ตลาดหุ้นโตเกียวเช้านี้ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว พลิกฟื้นจากการร่วงลงขาดทุนในช่วงก่อนหน้า ตามตลาดหุ้นสหรัฐที่ปิดบวกในวันศุกร์ โดยหุ้นที่นำการปรับขึ้น คือกลุ่มส่งออกและกลุ่มเทคโนโลยี

ในตลาด Prime Market หุ้นที่ปรับขึ้น ได้แก่ หุ้นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มธนาคาร และกลุ่มเครื่องมืองานชั่งตวงวัด

ณ เวลา 10.03 น. ตามเวลาประเทศไทย

เงินเยนอ่อนค่าลงเล็กน้อยที่ 148.20 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากแข็งค่าขึ้นเมื่อวันศุกร์

ดัชนี Nikkei 225 อยู่ที่ 45,729.33 จุด เพิ่มขึ้น 683.52 จุด, +1.52%

ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิกปรับขึ้นแทบทั้งภูมิภาคนำโดยหุ้นญี่ปุ่น หลังจากธนาคารกลาง(BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวันศุกร์ และประกาศแผนการขาย กองทุน ETF ที่ถือครองไว้มหาศาล ทำให้นักลงทุนคลายกังวล ขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) คงอัตราดอกเบี้ยเช้านี้

เมื่อวันศุกร์ BOJ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% ตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ และประกาศแผนการขาย กองทุน ETF ที่มีมูลค่าทางบัญชีประมาณ 37 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 8 ล้านล้านบาท

เช้าวันนี้ ธนาคารกลางจีน มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (Loan Prime Rate:LPR) ประเภท 1 ปีไว้ที่ 3.0% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีไว้ที่ 3.5%

ความเชื่อมั่นดีขึ้นเช่นกันหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวถึงความคืบหน้าในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับจีน และกล่าวว่าหลังจากการโทรศัพท์หารือระหว่างผู้นำทั้งสอง เขาจะพบกับสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิกที่กำลังจะมีขึ้น

อย่างไรก็ตามนักลงทุนในเอเชียกังวลกับมาตรการด้านวีซ่าแรงงานของประธานาธิบดี ทรัมป์ และจับตาไปที่หุ้นอินเดียและเทคโนโลยี หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่าจะขอให้บริษัทต่างๆ จ่ายเงิน 100,000 ดอลลาร์ต่อปีสำหรับวีซ่า H-1B ที่จะออกให้กับคนงานใหม่ ซึ่งถือเป็นการโจมตีภาคเทคโนโลยีที่ต้องพึ่งพาแรงงานที่มีทักษะจากอินเดียและจีน

ภาคเทคโนโลยีสารสนเทศของอินเดียซึ่งมีมูลค่า 283,000 ล้านดอลลาร์และมีรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งมาจากสหรัฐฯ น่าจะได้รับผลกระทบในระยะใกล้จากความสัมพันธ์ที่เสื่อมถอยระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ

ความสนใจของนัลงทุนยังคงอยู่ที่การประเมินทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐฯ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่บ่งชี้ว่าจะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอนาคต ในสัปดาห์นี้คาดว่าผู้กำหนดนโยบายหลายคนจะออกมาให้ความเห็น

ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญจะเผยแพร่ในวันศุกร์ ซึ่งจะช่วยในการประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้น

โทนี่ ไซคามอร์ นักวิเคราะห์ตลาดจาก IG คาดการณ์ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (PCE) เดือนสิงหาคมของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบรายปีไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนกรกฎาคม

นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงิน 0.44% ภายในสิ้นปีนี้

ดัชนี SSE ตลาดหุ้นจีนอยู่ที่ 3,820.47 จุด เพิ่มขึ้น 0.38จุด, +0.01%
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงอยู่ที่ 26,290.45 จุด ลดลง 254.65 จุด, -0.96%
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้อยู่ที่ 3,470.57 จุด เพิ่มขึ้น 25.33 จุด, +0.74%
ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันอยู่ที่ 25,819.42 จุด เพิ่มขึ้น 241.05 จุด, +0.94%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 0.34 ดอลลาร์หรือ 0.54% ซื้อขายที่ 63.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 0.38 ดอลลาร์ หรือ 0.57% ซื้อขายที่ 67.06 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–