HoonSmart.com>>”บลจ.ยูโอบี” มองหุ้นไทยได้อานิสงส์ฟันด์โฟลว์ไหลเข้ารับดอกเบี้ยสหรัฐฯ ขาลง กดดอลลาร์อ่อน – เก็งครม.ใหม่อัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก่อนเลือกตั้งใหม่ หนุนดัชนีสิ้นปีนี้โอกาสแตะ 1,350-1,400 จุด ชูกลุ่มพลังงาน แบงก์ ค้าปลีกเด่น แนะกระจายลงทุนหุ้นเทคสหรัฐฯ-หุ้นเทคจีน-หุ้นอินเดีย-ทอง พร้อมคัด “กองทุนเด่น” จัดพอร์ตลงทุน

นายณัฐพล จันทร์สิวานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี(ประเทศไทย) หรือ UOBAM กล่าว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นได้ปัจจัยสนับสนุนจาก 2 ปัจจัยหลักจากรัฐบาลใหม่ที่คาดว่าจะอัดมาตรกากระตุ้นเศรษฐกิจออกมาจำนวนมากในช่วงเวลาบริหารในระยะสั้น 4 เดือนก่อนมีการยุบสภา รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า เงินไหลออกจากสหรัฐฯเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย รวมถึงไทย ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณเงินไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่แล้ว ทำให้ตลาดหุ้นไทยได้รับอานิสงส์ดังกล่าว จึงมองดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1,350-1,400 จุดได้ในสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ตามจากสถิติหุ้นไทยก่อนมีการเลือกตั้งมักมักปรับตัวขึ้นได้ดี ถึงแม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไม่น่าจะเป็นอุปสรรคทำให้ฟันด์โฟลว์ชะงักไป คาดเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.50-32 บาท ขณะที่ผ่านมาฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นสุทธิประมาณ 2-3 พันล้านบาทในรอบนี้แล้ว คาดว่าน่าจะมีโอกาสถึง 5 พันล้านบาทได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และหากดัชนีปรับตัวขึ้นแถว 1,400 จุด อาจมีแรงขายทำกำไรออกมา เพื่อติดตามพัฒนาการทางการเมืองในระยะต่อไป
สำหรับกลุ่มหุ้นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติยังเป็นหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 โดยมองกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มพลังงาน แบงก์และค้าปลีก
นายณัฐพล กล่าวว่า การประชุมของเฟดในวันที่ 16-17 ก.ย.นี้ คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% ซึ่งต้องติดตามถ้อยแถลงที่ออกมาส่งสัญญาณเช่นไร หลังจากภาคแรงงานสหรัฐฯส่งสัญญาณอ่อนแอ อย่างไรก็ตามบลจ.ยูโอบียังคาดว่าหลังจากเฟดลดดอกเบี้ยรอบนี้ (ก.ย.) แล้วจะลดอีก 2 ครั้งในปีนี้ (ครั้งละ 0.25%) ทำให้สิ้นปีอยู่ที่ระดับ 3.75% และปีหน้าลดอีก 2-3 ครั้ง คาดสิ้นปี 69 แตะระดับ 3-3.25%
“ดอกเบี้ยนโยบายของไทย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้ 0.25% เหลือ 1.25% สิ้นปีนี้ และอาจปรับลดลงอีก 1-2 ครั้งในปี 2569 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในช่วง 0.75-1.00%”
ส่วนการเติบโตเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 68 คาดจะเติบโต 1.8-2.0% จากครึ่งปีแรกเติบโต 3% จากการเร่งส่งออก แต่ในครึ่งปีหลังคาด GDP โตเพียง 1.2% ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้น่าจะเติบโตต่ำกว่าเป้าและลดลงจากปีก่อนประมาณ 5% แม้เริ่มมีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นแล้วก็ตาม ส่วนอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในแดนลบในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากฐานราคาน้ำมันในปีก่อนยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับแรงกดดันจากสินค้าราคาถูกที่นำเข้าจากประเทศจีน และกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในช่วง 0.1-0.3%
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังนโยบายภาษีของสหรัฐฯ มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการลงทุนภาครัฐ และเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัล จะเป็นปัจจัยสำคัญในการประคับประคองการเติบโตภายในประเทศ ผสานกับนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดทุน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยกดดันที่ต้องติดตาม เช่น ระดับหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังสูง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังต้องใช้เวลา”นายณัฐพล กล่าว
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ภายหลังจากสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงด้านภาษีกับประเทศต่างๆ ในอัตราที่ต่ำกว่าที่เคยประกาศไว้มาก รวมถึงผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อน้อยกว่าที่คาดไว้มาก โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป (Soft landing) ปัจจัยสนับสนุนหลักจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง (The One Big Beautiful Bill) และแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากเฟดเพื่อลดความเสี่ยงของการชะลอตัวในตลาดแรงงาน ในขณะที่ผลกำไรของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่สหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งจากการลงทุนใน Generative AI ดังนั้น หุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีความน่าสนใจ แม้ว่าจะมีมูลค่าที่แพงกว่าภูมิภาคอื่น แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตได้
อย่างไรก็ตามแม้นักลงทุนบางกลุ่มอาจจะกังวลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีหนี้ระดับสูงมาก แต่ตลาดสหรัฐเป็นตลาดที่มี Productivity สูง ที่มาจากกลุ่ม AI ธุรกิจใหม่ที่เป็น Long-term Growth เช่นเดียวกับที่ผ่านมาตลาดกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯจะถดถอย แต่ตลาดหุ้นก็เดินหน้าทำนิวไฮอย่างต่อเนื่อง จึงมองว่าสหรัฐฯยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ซึ่งประเด็นสำคัญต้องติดตามเงินเฟ้อ (inflation) หากขึ้นไปสูงแรงๆ ก็กดดันตลาดหุ้นได้ แต่เป็นเพียงระยะสั้น ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐ (Tariff) โดยคาดว่าจะเกิดในไตรมาส 4 ปีนี้หรือไตรมาส 1/2569
สำหรับเศรษฐกิจในยุโรปยังคงมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นภายหลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) อย่างต่อเนื่อง และการกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและโครงสร้างพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวที่ดีอาจทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในยุโรปมีปริมาณที่ลดลงในช่วงที่เหลือของปี
ด้านภูมิภาคเอเชีย เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นเดียวกัน โดยประเทศญี่ปุ่นมีการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับปานกลางจากการบริโภคภายในประเทศ แต่มีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจากตลาดแรงงานที่ตึงตัว ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศจีนยังคงมีความเปราะบางจากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ ส่งผลให้การประชุมรัฐบาลจีนล่าสุด ยังคงมีความจำเป็นจะต้องออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักต่อตลาดหุ้นจีนและเอเชีย
“เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นเทคที่ยังมีโอกาสเติบโต รวมถึงหุ้นเทคจีนในตลาด H-Share หุ้นอินเดียและหุ้นไทย ส่วนหุ้นเวียดนามแนะเล่นรอบหาจังหวะทำกำไร”นายณัฐพล กล่าว
สำหรับพอร์ตการลงทุนถึงสิ้นปีนี้ กลุ่มที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางคาดหวังผลตอบแทนประมาณ 6-8% แนะนำกระจายลงทุนในตราสารหนี้ 60% ลงทุนผ่านกองทุน UGIS สัดส่วน 50% และ UIDPLUS สัดส่วน 10% ส่วนการลงทุนในหุ้น 40% แนะนำลงทุนในหุ้นเทคสหรัฐฯ ผ่านกองทุน USTECH ประมาณ 15-20% และที่เหลือลงทุนในหุ้นจีน อินเดียและไทย รวมทั้งอาจลงทุนในทองคำติดไว้ในพอร์ตด้วย

คัด “กองทุนเด่น” จัดพอร์ตลงทุนโค้งสุดท้ายของปี
ด้านนายกุลฉัตร จันทวิมล กรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บลจ ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า บลจ.ยูโอบีแนะนำทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุน เพื่อรองรับวัตถุประสงค์การลงทุนที่แตกต่างกันของผู้ลงทุน ดังนี้
1. เพื่อบริหารสภาพคล่องหรือต้องการลงทุนในระหว่างรอจังหวะการลงทุน กองทุนแนะนำได้แก่
– กองทุนเปิด ไทย แคช แมเนจเม้นท์ (TCMF-M) หน่วยลงทุนชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป และกองทุนเปิด ไทย แคช แมเนจเม้นท์ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อผู้ลงทุนนิติบุคคล (TCMF-I) ระดับความเสี่ยง 1 (เสี่ยงต่ำ) ที่มีนโยบายมุ่งลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ และ/หรือเงินฝาก หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก ตราสารแห่งหนี้ทั้งภาครัฐ และ/หรือภาครัฐวิสาหกิจ ที่มีความมั่นคงและมีสภาพคล่องสูงเป็นหลัก
– กองทุนเปิด ยูไนเต็ด อินคัม เดลี่ อัลตร้า พลัส ฟันด์ (UIDPLUS) ระดับความเสี่ยง 4 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก ทั้งในประเทศและ/หรือต่างประเทศ
– กองทุนเปิด ไทย ตราสารหนี้ (TFIF) ระดับความเสี่ยง 4 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารแห่งหนี้ และ/หรือเงินฝาก ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และ/หรือภาคเอกชน ที่มีความมั่นคงและมีสภาพคล่องสูงเป็นหลัก
2.เพื่อกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้ทั่วโลก และรับความผันผวนได้ปานกลาง กองทุนแนะนำได้แก่
– กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบปกติ (UGIS-N) และกองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ เอฟเอ็กซ์ ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบปกติ (UGISFX-N) ระดับความเสี่ยง 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund (Class I) เพียงกองทุนเดียวโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกระแสรายได้ในระดับสูงโดยการบริหารการลงทุนอย่างรอบคอบ และมีวัตถุประสงค์ในการสร้างการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว
3.เพื่อโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย และรับความผันผวนได้ปานกลาง กองทุนที่แนะนำ ได้แก่
– เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ : กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ซีไอโอ อินคัม ฟันด์ TH หน่วยลงทุนชนิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบปกติ (UIFT-N) ระดับความเสี่ยง 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก United CIO Income Fund – Class T USD Acc เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ทั่วโลก
– เพื่อสร้างโอกาสเติบโตของเงินลงทุน : กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ซีไอโอ โกรท ฟันด์ TH หน่วยลงทุนชนิดเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (UGFT-M) ระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก United CIO Growth Fund Class T USD Acc โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กองทุนหลักกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ทั่วโลก
– เพื่อโอกาสการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มการเติบโต : กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอส โกรท ฟันด์ (UUSA-M) ระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก JPMorgan Funds US Growth Fund Class I (acc) USD โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
– เพื่อโอกาสการลงทุนในตราสารทุนสหรัฐฯ : กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอส เทคโนโลยี อิควิตี้ ฟันด์ (UUSTECH) ระดับความเสี่ยง 7 (เสี่ยงสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก JPMorgan Funds US Technology Fund ชนิดหน่วยลงทุน JPM US Technology I (acc) – USD เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการเติบโตของเงินทุนในระยะยาว โดยเน้นการลงทุนตราสารทุนของบริษัทในประเทศสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี (ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะด้านเทคโนโลยี สื่อ และบริการ ด้านการสื่อสาร)
4.สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในระยะกลาง-ยาว ในหุ้นกลุ่มคุณภาพดีและเติบโตสูง กองทุนที่แนะนำ ได้แก่
– กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล ดูเรเบิ้ล อิควิตี้ ฟันด์ (UGD) ระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก United Global Durable Equities Fund – Class USD ACC เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มั่นคงที่ให้กำไรทบต้นอย่างสม่ำเสมอแก่ผู้ลงทุนโดยมีระดับความผันผวนของผลตอบแทนที่ต่ำกว่าระดับ ค่าเฉลี่ยของบริษัททั่วไป และลงทุนในตราสารทุน หรือหลักทรัพย์อื่นๆ รวมถึงตราสารที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนที่จดทะเบียนและซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก
– กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อิควิตี้ แอบโซลูท รีเทิร์น (UGEAR) ระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) – กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก Jupiter Merian Global Equity Absolute Return Fund (Class I USD Accumulation) กองทุนหลักมีวัตถุประสงค์การลงทุนเพื่อมุ่งสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวก (absolute return) )
5.โอกาสการลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศ หรือสินทรัพย์ทางเลือก เพื่อกระจายความเสี่ยง กองทุนที่แนะนำ ได้แก่
– กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล ซัสเทนเนเบิล อินฟราสตรัคเจอร์ อิควิตี้ ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแบบปกติ (UINFRA-N) ระดับความเสี่ยง 6 (เสี่ยงสูง) ที่มีนโยบายลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) ตราสารทุนต่างประเทศ ที่มีนโยบายการลงทุนที่เน้นการลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก และมีแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน โดยกระจายการลงทุนในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
– กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท โกลด์ ฟันด์ H (UOBSG-H) ระดับความเสี่ยง 8 (เสี่ยงสูงมาก) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก SPDR Gold Trust ที่เน้นลงทุนในทองคำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับราคาทองคำในตลาดโลกหักกับค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกองทุน โดยกองทุนจะลงทุนในกองทุนหลักที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้ อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และจะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
นอกจากนี้ บลจ. ยูโอบี ยังมีทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการ Solution ในการลงทุนเฉพาะทาง ได้แก่
1. USD Fund Solution กองทุนรวมสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) สำหรับนักลงทุนไทย เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในสกุลเงินบาทเพียงอย่างเดียว กองทุนที่แนะนำ ได้แก่
• กองทุน Term Fund หรือ กองทุนรวมที่กำหนดอย่างชัดเจนว่าจะถือทรัพย์สินที่ลงทุนตลอดอายุโครงการหรือตลอดรอบการลงทุน ความเสี่ยงระดับ 3 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ) เหมาะกับคนที่อยากหาแหล่งพักเงินลงทุน โดยมีโอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่าฝากออมทรัพย์ หรือฝากประจำในไทย
• กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอสดี เดลี่ ฟันด์ (USDAILY) ความเสี่ยงระดับ 4 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก State Street USD Liquidity LVNAV Fund – Select Accumulating โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งกองทุนหลักเน้นลงทุนในตราสารตลาดเงิน และ/หรือตราสารหนี้ในสกุลเงิน USD ที่มีการจ่ายดอกเบี้ยทั้งในอัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนใน Derivatives เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
• กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ยูเอสดี โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS-USD) ความเสี่ยงระดับ 5 (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund (Class I) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กองทุนหลักกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลกอย่างน้อย 2 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สิน ซึ่งอาจลงทุนใน
ตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของมูลค่าทรัพย์สิน
2. Private Asset Solution รองรับความต้องการของนักลงทุนที่มองหาโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว กองทุนที่แนะนำ ได้แก่
• กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ไพรเวท ไดเวอร์ซิไฟด์ เลนดิ้ง ฟันด์ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย หน่วยลงทุนชนิดรับซื้อคืนแบบปกติ (UPD-UI-N) ความเสี่ยงระดับ 8+ (เสี่ยงสูงมากอย่างมีนัยสำคัญ) – กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน และกองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก PIMCO Private Diversified Lending Fund Ltd (Class C) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กองทุนหลักกระจายการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมในสินทรัพย์ประเภท Private Assets โดยลงทุนในการให้กู้ยืมเงินหรือเงินกู้ และ/หรือธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อของภาคเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทที่มีการปล่อยสินเชื่อนอกตลาดหรือให้กู้ยืมโดยตรง (Private Lending, Loans or Private credit) ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนใน Derivatives เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน และ/หรือเพื่อการลดความเสี่ยง (Hedging)
• กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ไพรเวท อินฟราสตรัคเจอร์ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย หน่วยลงทุนชนิดรับซื้อคืนแบบปกติ (UPINFRA-UI-N) ความเสี่ยงระดับ 8+ (เสี่ยงสูงมากอย่างมีนัยสำคัญ) – กองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน และกองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในกองทุนหลัก EQT Nexus Fund SICAV – ENIF (Class I EUR-Z) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน กองทุนหลักมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความเสี่ยง และการเติบโตของเงินลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว โดยจัดสรรการลงทุนหลายรูปแบบ เช่น Fund Investments และ Co-Investments ในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของ EQT ทั้งนี้ กองทุนอาจลงทุนใน Derivatives เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการลงทุน และ/หรือเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอื่นของกองทุน
นักลงทุนที่สนใจสามารถปรึกษาการลงทุนและขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคาร ยูโอบี จำกัด (มหาชน) หรือ บลจ. ยูโอบี โทร. 0-2786-2222 หรือเลือกทำรายการผ่านบริการออนไลน์ Premier Online หรือผ่านแอปพลิเคชัน UOBAM Invest Thailand และสำหรับผู้ลงทุนใหม่สามารถเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์และลงทุนได้ทันที ผ่านแอป UOBAM Invest Thailandหรือคลิกที่ https://www.uobam.co.th/th/Channel/OpenAccountnew
