ธนาคารกลางยุโรปประกาศยุติโครงการ QE สิ้นปีนี้ ตรึงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไป ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปีและ 30 ปี ร่วง ประธาน ECB ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจยุโรปทั้งในปีนี้-ปีหน้าลงอีก 0.1% เหลือขยายตัว 1.9% และ 1.7% เตือนมีความเสี่ยงขาลง ส่วนเงินเฟ้อถูกปรับเพิ่มขึ้น ตามค่าแรง
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 13 ธ.ค. 2561 ประกาศยุติโครงการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงสิ้นเดือนธ.ค.นี้ หลังจากที่ได้เข้าซื้อพันธบัตรในวงเงิน 1.5 หมื่นล้านยูโร (1.74 หมื่นล้านดอลลาร์) ต่อเดือนก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกันที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.40%และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
ECB ระบุว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างน้อยจนถึงช่วงฤดูร้อนในปีหน้า
ส่วนความเคลื่อนไหวทางฝั่งสหรัฐอเมริกา ณ เวลา 00.19 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 2.91% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.16%
นักลงทุนรอการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 18-19 ธ.ค. ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ นับเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 4 สำหรับปีนี้ และจับตาการส่งสัญญาณของเฟดเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2562 ว่าจะชะลอลงอย่างที่คาดการณ์หรือไม่
ทางด้านนายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้ สู่ระดับ 1.9% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.0% ส่วนในปีหน้าปรับลดลง สู่ระดับ 1.7% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.8%
นายดรากีระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนมีความเสี่ยงในช่วงขาลง โดยมีสาเหตุจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์, ผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า, ความเปราะบางในตลาดเกิดใหม่ และความผันผวนในตลาดการเงิน
นอกจากนี้นายดรากีได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้ สู่ระดับ 1.8% จากการดีดตัวขึ้นของค่าจ้าง ขณะที่ตลาดแรงงานอยู่ในภาวะตึงตัว
ส่วนกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ชาวอเมริกันยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 27,000 ราย สู่ระดับ 206,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 49 ปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงสู่ระดับ 225,000 ราย