เทคนิคเลือกหุ้น Under value ท่ามกลางราคาหุ้นถูก

HoonSmart.com>>เจาะลึกวิธี คัดหุ้น Under Value หรือหุ้นที่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง คัด “หุ้นที่ถูกเพราะปัญหา” ออกจาก “หุ้นที่ถูกเพราะตลาดมองข้าม” ได้อย่างมั่นใจ คู่มือเอาตัวรอดตลาดผันผวนปี 2568

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ได้เขียนบทความเรื่อง “เทคนิคเลือกหุ้น Under value ท่ามกลางราคาหุ้นถูก”ลงในเว็ปไซต์ setinvestnow ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 11 ก.ย.2568 สรุปได้ว่า

ทำไม “Under Value” ถึงสำคัญ

ในสภาวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง หรือเมื่อนักลงทุนกังวลเรื่องเศรษฐกิจสั้นและกลาง “หุ้นที่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง” (Under Value) กลายเป็นโอกาสที่น่าสนใจ เพราะมี margin of safety — คือส่วนต่างระหว่างมูลค่าที่นักวิเคราะห์ประเมิน (Intrinsic Value) กับราคาที่ซื้อขายในตลาด ซึ่งหากวิเคราะห์ดี โอกาสได้ผลตอบแทน (จากเงินปันผล + การขึ้นของราคา) สูงขึ้น และความเสี่ยงลดลงหากราคายังไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง

วิธีประเมินหุ้น Under Value

1. ทำความเข้าใจคำว่า “ราคาหุ้น” vs “มูลค่าที่เหมาะสม” รู้ว่า ราคาตลาดของหุ้น คือสิ่งที่ตลาด “พร้อมจ่าย” ณ ปัจจุบัน ขณะที่มูลค่าที่เหมาะสม มาจากการประเมินว่าจะได้รับอะไรบ้างในอนาคต เช่น ปันผล, กำไร, กระแสเงินสด ฯลฯ ศึกษางบการเงิน / รายงานวิเคราะห์ของโบรก / SET / settrade One Report / IAA Consensus

2. วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค & อุตสาหกรรม ระบุว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงไหน (เติบโต, ชะลอตัว, ถดถอย) พร้อมดูว่าอุตสาหกรรมของหุ้นมีแนวโน้มอย่างไร รวมถึงคู่แข่งและมูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรมนั้น ๆ รายงานอุตสาหกรรม, ข้อมูล SET / settrade, ข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจ /การค้า /ภายในกิจการ

3. วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเชิงคุณภาพ + การเงิน ตรวจสอบว่า บริษัทอยู่ในธุรกิจแบบไหน (ผลิต, บริการ, โภคภัณฑ์, ฟินเทค ฯลฯ) มีนวัตกรรม / R&D หรือไม่, มีความสามารถปรับตัว /แข่งขันได้หรือไม่; ดูตัวเลขการเงิน เช่น รายได้ กำไรสุทธิ (โดยเฉพาะ Core Profit), กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน,หนี้สิน,ต้นทุน, margin ต่าง ๆ งบการเงินย้อนหลัง &คาดการณ์, One Report /บทวิเคราะห์, Opportunity Day, IAA Consensus

4. ใช้ตัวชี้วัด Valuation เบื้องต้น ใช้อัตราส่วนทางการเงิน เช่น PER, PBV, EV/EBITDA โดยเปรียบเทียบกับอดีตของตัวเอง และค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม เพื่อดูว่าอยู่ในระดับต่ำกว่า (ซึ่งอาจบ่งชี้ Under Value) ตารางเปรียบเทียบ PER / PBV ของบริษัท vs อุตสาหกรรม /ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3-5 ปี / คาดการณ์ในอนาคตจากนักวิเคราะห์

5. ประเมินมูลค่าอย่างละเอียดผ่านกระแสเงินสด /การเติบโต ถ้าเป็นไปได้ ให้ประมาณการกระแสเงินสดที่กิจการจะสร้างขึ้น (หลังหักต้นทุนลงทุน, หนี้สิน ฯลฯ) และคำนึงถึงอัตราการเติบโตของกำไรหรือรายได้ คาดการณ์ด้วยสมมติฐานที่เป็นไปได้/อ่อนไหว เช่น ถ้าน้อยกว่าเป้า ประเมิน worst case scenario ด้วย ใช้ข้อมูล Consensus จาก IAA /บทวิเคราะห์, ปรับลดคาดการณ์ (discount) เพื่อเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน, Sensitivity Analysis

6. พิจารณาปันผล (Dividend Yield) และกระแสเงินสดปฏิบัติการ หุ้น Under Value ที่จ่ายเงินปันผลดี สามารถให้กระแสเงินสดกลับมาช่วย “ชดเชย” ในช่วงที่ราคาหุ้นไม่เคลื่อนไหวดีนัก ได้เป็นการลดความเสี่ยง ตรวจสอบ DPS, อัตราปันผลย้อนหลัง,กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Operating Cash Flow) และว่ามีความสามารถจ่ายได้อย่างยั่งยืนหรือไม่

7. พิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบ: วัฏจักรธุรกิจ, สินทรัพย์ซ่อนเร้น, ESG, ความเสี่ยง บางธุรกิจเป็นวัฏจักร หากอยู่ในช่วงถดถอยหรืออิ่มตัว อาจไม่ใช่เวลาที่ดี; บางบริษัทมีสินทรัพย์ซ่อนเร้น (เช่น ที่ดิน, อาคาร,สิทธิที่ดิน) ที่เมื่อตีมูลค่าจะเพิ่มมูลค่าได้; ESG ก็เป็นตัวช่วยลดความเสี่ยงระยะยาว เช่น ถ้าการปฏิบัติธรรมาภิบาล /การจัดการสิ่งแวดล้อมไม่ดีอาจเกิดปัญหาในอนาคตได้ ตารางสินทรัพย์ย้อนหลัง /หมายเหตุประกอบงบ /รายงาน ESG /เปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยเฉพาะ ESG report / SET ESG Ratings

เคล็ดลับเสริม เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จ

ใช้ IAA Consensus /บทวิเคราะห์หลายแห่ง เพื่อดูว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายเจ้าใกล้เคียงกันหรือไม่; ถ้าแรงบ้านแรงกันมาก มีโอกาสที่แนวโน้มจะชัดเจนกว่า

ปรับคาดการณ์อย่างรอบคอบ (Discounting) เช่น ถ้านักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรต่อหุ้นสูง อาจลองลดลง 10-15% เพื่อเตรียมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจริง เช่นค่าใช้จ่ายสูงขึ้น,ตลาดเปลี่ยนแปลง ฯลฯ

ทยอยลงทุน (Dollar Cost Averaging) ระหว่างที่ราคาหุ้นยังมีแนวโน้มลง เพื่อรักษาเฉลี่ยต้นทุน และลดความเสี่ยงจากการซื้อสูงในจังหวะ Top

ล็อก Yield สำหรับผู้ที่ต้องการรายได้ประจำ มองหุ้นที่จ่ายปันผลดีและเงินสดจากการดำเนินงานแข็งแรง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนแบบ recurring income ในขณะรอให้ราคาหุ้นกลับเข้าสู่มูลค่าเหมาะสม

กับดักที่อาจเจอ

ถูก “เพราะมีปัญหา” ไม่ใช่ “ถูกเพราะมูลค่าตลาดมองข้าม” ถ้าบริษัทกำไรตกหรือธุรกิจอยู่ในช่วงถดถอย อาจเป็นเหตุที่ราคาตกหนัก — แต่ก็อาจไม่ฟื้นคืนดีง่าย ๆ โดยเฉพาะถ้าสินค้า/บริการถูก Disrupted หรือมีคู่แข่งใหม่

Bias และ ความชอบส่วนตัว

นักลงทุนมักเชื่อในธุรกิจที่ตัวเองชอบ อาจประเมินมูลค่าตามอารมณ์ — ต้องระวังไม่ให้ “ชอบ” ไปกดค่า PER หรือ growth rate มากเกินจริง

ตัวชี้วัด Valuation ที่อิงอดีตโดยไม่ดูอนาคต ใช้ค่าเฉลี่ย PER, PBV ย้อนหลัง 3-5 ปีดี แต่ถ้าอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงเร็ว ค่าเฉลี่ยอาจไม่สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันหรืออนาคต

ปัจจัยที่ไม่ปรากฏในงบการเงิน ESG (ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล), ความเสี่ยงจากนโยบายภาครัฐ, ความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี, หรือคู่แข่งต่างประเทศ — สิ่งเหล่านี้อาจทำให้คาดการณ์ผิดพลาดได้

ต้องใช้ความอดทน หุ้น Under Value บางตัวใช้เวลานานกว่าจะกลับเข้ามาสู่มูลค่าที่เหมาะสม และอาจมีแฟคเตอร์ชวนให้ท้อ เช่น ราคายังตกต่อเนื่อง หรือข่าวลบซ้ำ ๆ — ผู้ลงทุนควรรู้ว่าตนเองรับความผันผวนได้แค่ไหน

สรุป

หุ้น Under Value เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นตกและนักลงทุนทั่วไปมีความกังวลมากมาย แต่เพื่อให้กลยุทธ์นี้สำเร็จ ต้องประกอบด้วย ความเข้าใจในความต่างระหว่างราคาตลาดและมูลค่าที่แท้จริง,การวิเคราะห์ทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณอย่างละเอียด,ใช้ตัวชี้วัด Valuation หลายแบบร่วมกัน (PER, PBV, EV/EBITDA) พร้อมคาดการณ์อนาคตและปรับลดเผื่อล่วงหน้า,พิจารณาปันผลและกระแสเงินสดจริงเป็นตัวช่วยลดความเสี่ยง,มีความอดทนพร้อมยอมรับความผันผวนระหว่างทาง

หากนักลงทุนทดลองใช้แนวทางข้างต้นอย่างมีวินัย โอกาสที่หุ้น Under Value จะให้ผลตอบแทนเหนือค่าเฉลี่ยในระยะยาวมีสูงมากขึ้น และยังสามารถใช้เป็นสมดุลในพอร์ตเมื่อตลาดอยู่ในภาวะไม่แน่นอน