ฟิทช์ฯ จัดอันดับ”ไทยเครดิต”‘A(tha)’ ความสามารถทำกำไรแข็งแกร่ง

HoonSmart.com>>ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวเป็นครั้งแรกแก่ธนาคารไทยเครดิต ที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

บริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวให้แก่ธนาคารไทยเครดิต (TCB) ที่ระดับ ‘A(tha)’ และระยะสั้นที่ ‘F1(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิต: มีเสถียรภาพ การจัดอันดับสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง, รูปแบบธุรกิจเฉพาะทาง, และความสามารถในการบริหารความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้

ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต

1. โครงสร้างธุรกิจเฉพาะทาง มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้า SME รายเล็ก (micro SME) ซึ่งคิดเป็น 68% ของสินเชื่อรวม ณ ครึ่งปีแรก 2568 ,ส่วนแบ่งตลาดต่ำ (0.8%) ทั้งในด้านสินทรัพย์และเงินฝาก , เครือข่ายธุรกิจจำกัดเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์รายใหญ่

2. การเติบโตของสินเชื่อ, อัตราการเติบโตของสินเชื่อเฉลี่ย 25.3% (2564–2567) สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ 2.1%,ณ มิ.ย. 2568: TCB เติบโต 5.2% ขณะที่อุตสาหกรรมหดตัว -0.4% ,ความเสี่ยงจากลูกค้ากลุ่มเปราะบางได้รับการบรรเทาบางส่วนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงและการทำประกันสินเชื่อกับ บสย.

3. คุณภาพสินทรัพย์,NPL อยู่ที่ 4.8% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ,ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญอยู่ในระดับสูง ,ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าคาด

4. ความสามารถในการทำกำไร อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์เสี่ยง (ROA) อยู่ที่ 3.1% เทียบกับอุตสาหกรรมที่ 2.2% ,NIM อยู่ที่ 7.9% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่ 3.1% คาดว่ากำไรจะยังคงอยู่ในระดับสูงในระยะสั้น แม้สภาพแวดล้อมการดำเนินงานอ่อนแอลง

5. ฐานะเงินกองทุน CET1 ณ มิ.ย. 2568 อยู่ที่ 15% เพิ่มขึ้นจาก IPO และกำไรสะสม ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 16% คาดว่าจะสามารถสะสมเงินกองทุนรองรับการเติบโตของสินเชื่อได้

6. โครงสร้างเงินฝาก อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ที่ 127% เทียบกับอุตสาหกรรมที่ 90% สะท้อนถึงเครือข่ายเงินฝากที่จำกัด คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องในระยะ 2–3 ปีข้างหน้า

ปัจจัยที่อาจส่งผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยเชิงลบ การเติบโตของสินเชื่อเกิน 20% อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่เพียงพอ ,NPL สูงกว่า 6% อย่างต่อเนื่อง ,อัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อ NPL ต่ำกว่า 100% , CET1 ต่ำกว่า 12% โดยไม่มีแผนฟื้นฟูที่ชัดเจน

ปัจจัยเชิงบวก การพัฒนารูปแบบธุรกิจให้หลากหลายมากขึ้น ,ขยายเครือข่ายธุรกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่กับการรักษาระดับความเสี่ยงให้อยู่ในระดับปานกลาง