HoonSmart.com>>ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 273 จุด สวนดัชนี Nasdaq เดินหน้าปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นักลงทุนคาดการณ์สัญญาณจ้างงานที่อ่อนแอลง อัตราเงินเฟ้อที่ควบคุมได้บ่งชี้เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวเพิ่มขึ้น ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบเล็กน้อย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 12 กันยายน 2568 ปิดที่ 45,834.22 จุด ลดลง 273.78 จุด หรือ -0.59% แต่ดัชนี Nasdaq ยังเดินหน้าปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าสัญญาณการจ้างงานที่อ่อนแอลงและอัตราเงินเฟ้อที่ควบคุมได้บ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,584.29 จุด ลดลง 3.18 จุด, -0.05%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,141.10 จุด เพิ่มขึ้น 98.03 จุด, +0.44%
ดัชนี Nasdaq ทำลายสถิติสูงสุดเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน ขณะที่หุ้น Tesla พุ่งขึ้น 7.36% แตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน
หุ้น Microsoft บวก 1.8% หลังจากสามารถหลีกเลี่ยงการถูกปรับเงินจำนวนมากจากสหภาพยุโรปในคดีผูกขาดตลาดด้วยการเสนอขายผลิตภัณฑ์ Office ที่ไม่รวม Teams ในราคาถูกลง
หุ้น Micron Technology พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 158.28 ดอลลาร์ต่อหุ้นและปิดเพิ่มขึ้น 4.42% นักวิเคราะห์ของ Citi ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาของ Micron จาก 150 ดอลลาร์เป็น 175 ดอลลาร์ โดยอ้างถึงแนวโน้มขาขึ้นของตลาดหน่วยความจำที่ได้รับแรงหนุนจากความต้องการชิป DRAM และฮาร์ดแวร์อื่นๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนโซลูชัน AI ที่เพิ่มขึ้น
ในรอบสัปดาห์นี้ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.6% และเป็นกาปรรับขึ้นรายสัปดาห์ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม และที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 ในรอบ 6 สัปดาห์ ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 2% ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์แรกในรอบ 3 สัปดาห์ จากที่เพิ่มขึ้น 1% ในสัปดาห์นี้
นักลงทุนได้ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อประเมินสัญญาณบ่งชี้ถึงความเคลื่อนไหวต่อไปของเฟด ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้อมูลการจ้างงานได้แสดงสัญญาณที่ชัดเจนถึงความอ่อนแอของตลาดแรงงาน จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์พุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อยังคงทรงตัว โดยราคาผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นในเดือนที่แล้ว ท่ามกลางสัญญาณบ่งชี้ว่ามาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
แต่นักลงทุนที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการตัดสินใจของเฟดในวันที่ 17 กันยายน มองว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำเพียงพอที่จะทำให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า และอาจมากกว่านั้นด้วย จากเครื่องมือ FedWatch ของ CME บ่งชี้ว่าตลาดให้น้ำหนักกว่า 90%ว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% และให้น้ำหนักประมาณ 75% ว่าเฟดจะดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งก่อนสิ้นปี
บิล นอร์เธย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนของ U.S. Bank Wealth Management กล่าวว่า การแถลงข่าวของเฟดหลังการประชุมและการสรุปการคาดการณ์เศรษฐกิจ นักลงทุนน่าจะได้รับความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับมุมมองของธนาคารกลางเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ พร้อมทั้งสิ่งที่ธนาคารกลางถือว่าเหมาะสมในแง่ของจุดยืนนโยบายการเงินเมื่อเทียบกับแนวโน้มดังกล่าว
ผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงมากกว่าที่คาดไว้ในเดือนกันยายน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมลดลงมาอยู่ที่ 55.4 ในเดือนกันยายน จาก 58.2 ในเดือนสิงหาคม และเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทั่วไปลดลง 21% จากปีก่อน ขณะที่คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวพุ่งขึ้นเป็น 3.9% เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของภาษีศุลกากร
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนมีความระมัดระวังมากขึ้นก่อนที่ Fitchจะประกาศการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศสในช่วงบ่าย
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ โดยเพิ่มขึ้น 1% โดยได้รับแรงหนุนจากตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวขึ้นในสัปดาห์นี้ จากการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง เทรดเดอรให้น้ำหนักเกือบ 100%สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ตามเครื่องมือ FedWatch ของ CME Group
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 554.84 จุด ลดลง 0.49 จุด, -0.09%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,283.29 จุด ลดลง 14.29 จุด, -0.15%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,825.24 จุด เพิ่มขึ้น 1.72 จุด, +0.02%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,698.15 จุด ลดลง 5.50 จุด, -0.02%
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงอัตราดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดีตามที่คาดการณ์ไว้ แต่มุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อกลับทำให้ความคาดหวังต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงินลดลง
ประเด็นสำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ความวุ่นวายทางการเมืองของฝรั่งเศส หลังจากที่ฝรั่งเศสแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ในรอบไม่ถึงสองปี เนื่องจากรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่สามารถรวมรัฐสภาให้แน่นแฟ้นเกี่ยวกับแผนการใช้จ่ายทางการคลังที่ขับเคลื่อนด้วยหนี้สาธารณะ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรฝรั่งเศส ซึ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในสัปดาห์ที่แล้วจากความกังวลเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่สูงของเศรษฐกิจ กำลังเผชิญกับการทดสอบอีกครั้งในวันศุกร์ เนื่องจาคาดการณ์ว่า Fitch จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศส
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีของฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.327% อย่างไรก็ตาม หุ้นฝรั่งเศสปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2% ในสัปดาห์นี้ ซึ่งสูงกว่าดัชนี STOXX
หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์เป็นหุ้นที่ลดลงมากที่สุด โดยลดลงกว่า 1%
บริษัทยา Novartis ของสวิตเซอร์แลนด์ ลดลง 2.8% หลังจากที่ Goldman Sachs ปรับลดคำแนะนำการลงทุน โดยอ้างถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากยาสามัญ ขณะที่หุ้น Zealand Pharma ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งก็ลดลง 4.1% เช่นกัน
หุ้นกลุ่มอากาศยานและกลาโหมของยุโรปยังคงทำสถิติใหม่ โดยเพิ่มขึ้น 0.7% สู่ระดับสูงสุดใหม่ และเป็นหุ้นที่ทำผลงานดีที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยพุ่งขึ้น 6% สู่ระดับสูงสุดรายสัปดาห์ในรอบกว่า 4 เดือน เนื่องจากได้ประโยชน์จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงคุกรุ่น หลังจากที่โปแลนด์ยิงโดรนรัสเซียตก
หุ้นธนาคารพุ่งขึ้นประมาณ 4% ในสัปดาห์นี้ เป็นการฟื้นตัวหลังจากอ่อนตัวลงในช่วงปลายเดือนสิงหาคม
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 32 เซนต์ หรือ 0.51% ปิดที่ 62.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 62 เซนต์ หรือ 0.93% ปิดที่ 66.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
