TEGH เล่าเรื่องทรานส์ฟอร์มสู่ BCG Model  ปักธงนำธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเข้า mai

HoonSmart.com>>บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้ง เดินหน้าขยายธุรกิจตามโมเดล BCG Economy และ Circular Economy พร้อมเตรียมแผนสปินออฟบริษัทลูก ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ เข้า เอ็ม เอ ไอ รองรับการเติบโตในอนาคต

การเคลื่อนไหวของบริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้ง (TEGH) ถูกจับตาในฐานะกรณีศึกษาการทรานส์ฟอร์มธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy :BCG Economy) ที่ผสานผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชน และความสามารถแข่งขันเชิงพาณิชย์บนเวทีโลก และเป็นหนึ่งใน Story Telling บนเวที Reinventing Industries-Forum Traditional to Innovation-Driven Growth

น.ส.สินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้ง (TEGH) เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากการวางระบบ Zero Manager เพื่อบริหารจัดการอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ก่อนนำแนวพระราชดำรัส “เศรษฐกิจพอเพียง” มาปรับใช้หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสภาพคล่องของเศรษฐกิจ แต่บริษัทจำเป็นต้องลงทุนเพราะส่งออกสูง ค่าเงินบาทอ่อน โดยเลือกลงทุนใน 2 ด้าน คือการขยายตลาด และการพัฒนาเพื่อจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมในภาคการเกษตร

“เราอยู่กับเกษตร มีปัญหาสิ่งแวดล้อมเยอะมาก เราเลือกลงทุนตรงนี้ก่อน เป็นเรื่องใกล้ตัว ใช้เงินไม่มาก”น.ส. สินีนุช กล่าว

น.ส.สินีนุช กล่าวว่า บริษัทได้ลงทุนระบบ Digestate การย่อยสลายขยะอินทรีย์ขนาดใหญ่ ที่รองรับวัตถุดิบกว่า 630,000 ตัน ต่อปี เพื่อผลิตก๊าซชีวภาพ (NC Gas) ไม่เพียงรับของเสียจากพื้นที่ EEC แต่ยังรับนอกพื้นที่ภาคกลาง อีสาน และใต้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำแล้วลดต้นทุนและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม และยังสามารถสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจใหม่ ที่ต่อยอดสู่ Bio Economy และ Carbon Economy
รวมถึง นวัตกรรมแก้ Pain Point ของเกษตรกร โดยสามารถผลิตยางแท่งไร้กลิ่น รายแรกของโลก เพื่อแก้ปัญหากลิ่นในอุตสาหกรรม แต่ยังทำตลาดเชิงพาณิชย์ไม่ได้มากนัก เนื่องจากผู้ผลิตยางรถยนต์ยังคุ้นกับยางที่มีกลิ่น

การลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทเริ่มต้นจาก “การสร้างแหล่งน้ำของตนเอง” เพื่อไม่ให้แย่งใช้ทรัพยากรกับชุมชนและภาคอุตสาหกรรม แม้ไม่สามารถคำนวณ ROI ได้ชัดเจน แต่ถือเป็นการวางรากฐานระยะยาวสำหรับการเติบโตต่อเนื่องในอีกหลายทศวรรษ

“นี่คือการลงทุนที่วัดผลด้วยตัวเลขไม่ได้ แต่เรารู้ว่าจำเป็นต้องทำ เพื่อความมั่นคงและการเติบโตในระยะยาว” น.ส.สินีนุช กล่าว

น.ส.สินีนุช กล่าวว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา TEGH ได้ต่อยอดจากระบบจัดการน้ำ สู่การสร้าง Circular Economy Ecosystem ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานปาล์มน้ำมันและยางพารา โดยพัฒนา Zero Waste และ Bio-based Energy ตั้งแต่ปี 2555 แม้ในระยะแรกธนาคารผู้ให้สินเชื่อยังตั้งคำถาม แต่สุดท้ายบริษัทพิสูจน์ได้ว่าการลงทุนเชิงสิ่งแวดล้อมสามารถสร้างความมั่นคงทางธุรกิจ และกลายเป็นโมเดลต้นแบบให้กับอุตสาหกรรม

TEGH ยังเป็นผู้บุกเบิกการจัดทำ Sustainable Supply Chain สำหรับยางพารา (SSC) รายแรกของโลก เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ระดับสากล รวมถึงรองรับมาตรฐานใหม่ของยุโรปอย่าง CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) และ Product Responsibility ซึ่งผู้ประกอบการทั่วไปไม่สามารถปรับตัวได้ทัน

ในแง่กลยุทธ์การเงิน บริษัทเลือกพึ่งพาแหล่งทุนธนาคารเป็นหลัก โดยยังไม่เคยออกหุ้นกู้ แต่ได้เริ่มเตรียมความพร้อมด้านเครดิตเรทติ้ง เพื่อรองรับโจทย์ด้านการเงินที่ซับซ้อนขึ้นในอนาคต

แผนต่อไป คือการแยกธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและชีวภาพผ่านการสปินออฟบริษัทลูก นออฟบริษัทลูก ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ (TEBP) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อขยายการลงทุนสู่ตลาดต่างประเทศ และเสริมความแข็งแกร่งด้าน ESG และ BCG Economy

“สิ่งที่เราเห็นวันนี้ คือผลลัพธ์ของความพยายามยาวนาน เราสร้างระบบที่ทำให้ซัพพลายเชนของเรายั่งยืน ส่งออกได้ในตลาดโลก แม้เผชิญมาตรฐานเข้มงวดอย่าง CBAM แต่กลับกลายเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้สินค้าเรามีมูลค่าเพิ่ม และสร้าง New Premium จากการบริหารความเสี่ยง” น.ส.สินีนุช กล่าว