ดาวโจนส์ปิดบวก 114 จุด รอข้อมูลเงินเฟ้อ

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดบวก ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 114 จุด ดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นักลงทุนจับตาข้อมูลเงินเฟ้อช่วงปลายสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับลดครั้งใหญ่ในสัปดาห์หน้า ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวเพิ่มขึ้น ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 8 กันยายน 2568 ปิดที่ 45,514.95 จุด เพิ่มขึ้น 114.09 จุด หรือ +0.25% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเงินเฟ้อในช่วงปลายสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับลดครั้งใหญ่ในสัปดาห์หน้า

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,495.15 จุด เพิ่มขึ้น 13.65 จุด, +0.21%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,798.70 จุด เพิ่มขึ้น 98.31 จุด, +0.45%

ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากแตะระดับ all-time highใหม่ระหว่างวัน ด้วยการปรับขึ้นของราคาหุ้น Broadcom ผู้ผลิตชิปที่เพิ่มขึ้น 3% และ Nvidia
ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 1% ส่วน Amazon และ Microsoft ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน

รอสส์ เมย์ฟิลด์ นักกลยุทธศาสตร์การลงทุนจาก Baird Private Wealth Management กล่าวกับ CNBC ว่า ยังคงมีแรงส่งจากการใช้จ่ายด้าน AI การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในกลุ่ม Magnificent Seven เท่านั้น หุ้นเทคโนโลยีโดยรวมปรับขึ้น

นักลงทุนกำลังรอรายงานเงินเฟ้อสำคัญสองชุดในสัปดาห์นี้ เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากข้อมูลการจ้างงานในวันศุกร์ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยรายงานดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนสิงหาคมมีกำหนดเผยแพร่ในเช้าวันพุธ และดัชนีราคาผู้บริโภคมีกำหนดเผยแพร่ในวันพฤหัสบดี

ข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้มองเห็นภาพความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจได้ลึกมากขึ้น หลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานในเดือนสิงหาคมของสัปดาห์ที่แล้วออกมาอ่อนแอ และข้อมูลตลาดแรงงานอื่นๆ ที่ชะลอตัวลง และเริ่มมีคำถามเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย

รายงานดังกล่าวจะทดสอบความคาดหวังของตลาดที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า และความเห็นในขณะนี้มุ่งไปที่ว่าผู้กำหนดนโยบายจะลดอัตราดอกเบี้ยลงมากน้อยเพียงใด ท่ามกลางความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% แทนที่จะเป็น 0.25% ณ วันจันทร์ การคาดการณ์ส่วนใหญ่ประมาณ 88% มองว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงเล็กน้อย

นอกจากนี้นักลงทุนยังจับตา ข้อมูลการจ้างงานเดือนก่อนที่มีการทบทวนของสำนักงานสถิติแรงงานที่จะออกมาในวันอังคารนี้อย่างใกล้ชิดมากกว่าปกติ

ขณะเดียวกันมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำลังสั่นคลอนสภาพแวดล้อมการค้าโลก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ กล่าวว่า สหรัฐฯ อาจจะถูกบังคับให้คืนเงินภาษี หากศาลฎีกาตัดสินว่าไม่สามารถบังคับใช้มาตรการภาษีเหล่านั้นได้ ศาลอุทธรณ์ตัดสินว่ามาตรการเหล่านี้ส่วนใหญ่ผิดกฎหมาย และประธานาธิบดีได้ใช้อำนาจเกินขอบเขต

สำหรับความเคลื่อนไหวหุ้นรายตัว หุ้น Robinhood Markets แพลตฟอร์มการซื้อขายรายย่อยพุ่งขึ้น 16% และหุ้น AppLovin แพลตฟอร์มการตลาด พุ่งขึ้น 12% เนื่องจากหุ้นของทั้งสองบริษัทจะถูกนำเข้ามาอยู่ในดัชนี S&P500 ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนนี้

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันจันทร์ ขณะที่หุ้นฝรั่งเศสก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนเตรียมรับการลงมติไม่ไว้วางใจในช่วงบ่าย ซึ่งนำไปสู่การโค่นล้มนายกรัฐมนตรีคนที่ 5 ของประเทศในรอบ 3 ปี

นายกรัฐมนตรีฟรองซัวส์ บายรู ของฝรั่งเศส แพ้การลงมติไม่ไว้วางใจในวันจันทร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปนี้กำลังพยายามควบคุมหนี้สาธารณะ นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังต้องเผชิญกับการพิจารณาทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือเป็นครั้งแรกจากหลายๆ ครั้งในสัปดาห์นี้

ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 552.04 จุด เพิ่มขึ้น 2.83 จุด, +0.52%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,221.44 จุด เพิ่มขึ้น 13.23 จุด, +0.14%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,734.84 จุด เพิ่มขึ้น 60.06 จุด, +0.78%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,807.13 จุด เพิ่มขึ้น 210.15 จุด, +0.89%

แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นในวันนี้ แต่ตลาดหุ้นฝรั่งเศสกลับทำผลงานได้ต่ำกว่าดัชนี STOXX ตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่ง
แตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายทางการคลังที่มาจากการกู้ยืม

การล่มสลายของรัฐบาลเสียงข้างน้อยของบายรู จะทำให้ปัญหาของฝรั่งเศสยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ยุโรปกำลังแสวงหาความเป็นเอกภาพในเรื่องสงครามของรัสเซียในยูเครน การที่จีนมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ และความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลฝรั่งเศสอายุ 30 ปี ลดลงมาอยู่ที่ 4.336% หลังแตะ 4.523% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2009 เมื่อต้นเดือนนี้

หุ้นส่วนใหญ่ดตลาดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น 1.8% ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น 1.7%

หุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 1.5% ฟื้นตัวจากการร่วงลงในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอของสหรัฐฯ ตอกย้ำความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะประกาศการตัดสินใจนโยบายครั้งต่อไปในวันที่ 17 กันยายน

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะประกาศผลการตัดสินใจนโยบายการเงินในวันพฤหัสบดี โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงใกล้เคียงกับเป้าหมายของธนาคารกลางที่ 2% และผู้กำหนดนโยบายกำลังประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจยูโรโซน

หุ้นน้ำมันและก๊าซยุโรปเพิ่มขึ้น 0.6% ตามราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น แนวโน้มที่จะมีการคว่ำบาตรน้ำมันดิบรัสเซียเพิ่มเติมหลังจากการโจมตียูเครนเมื่อคืนที่ผ่านมามีน้ำหนักมากกว่าแผนเพิ่มกำลังการผลิตของโอเปกพลัส

ในด้านข้อมูล การส่งออกของเยอรมนีเดือนกรกฎาคมลดลงมากกว่าคาด เนื่องจากอุปสงค์ของสหรัฐฯ ลดลงอย่างมากจากมาตรการภาษี ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น

หุ้นโทรคมนาคมลดลง 1.5% หลังจากที่ EchoStar ตกลงขายใบอนุญาตคลื่นความถี่ไร้สายให้กับ SpaceX

หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ลดลง 0.6% โดย Novo Nordisk ลดลง 0.9% สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ประกาศเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลการนำเข้าส่วนผสมของยารักษาโรคอ้วน โดยมีความกังวลว่าผลิตภัณฑ์หลายชนิดอาจมีการปลอมปนและก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 39 เซนต์ หรือ 0.63% ปิดที่ 62.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 52 เซนต์ หรือ 0.79% ปิดที่ 66.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–