ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 350 จุด ตลาดแรงงานอ่อนแอ ตอกย้ำคาดเฟดลดดอกเบี้ยก.ย.นี้

HoonSmart.com>>ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่ง 350 จุด ดัชนี S&P 500 ทำสถิติใหม่ หลังข้อมูลตลาดแรงงานอ่อนแอ หนุนความคาดหวังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยเดือน ก.ย.นี้ ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ลดลง ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 4 กันยายน 2568 ปิดที่ 45,621.29 จุด เพิ่มขึ้น 350.06 จุด หรือ +0.77% และดัชนี S&P 500 ทำสถิติใหม่ หลังข้อมูลตลาดแรงงานที่อ่อนแอ ทำให้ความคาดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ยิ่งมีมากขึ้น

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,502.08 จุด เพิ่มขึ้น 53.82 จุด, +0.83%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,707.69 จุด เพิ่มขึ้น 209.97 จุด +0.98%

กระทรวงแรงงานรายงานจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 8,000 มาที่ 237,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่า 231,000 รายที่นักวิเคราะห์คาด

รายงานการจ้างงานภาคเอกชนของ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ หรือ ADP แสดงให้เห็นว่าเพิ่มขึ้น 54,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคม นักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดย Dow Jones คาดการณ์ว่านายจ้างภาคเอกชนจะเพิ่มตำแหน่งงาน 75,000 ตำแหน่ง และยังต่ำกว่าตัวเลขที่ปรับปรุงแล้ว 106,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม

ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่าข้อมูล ADP ล่าสุดนั้นอ่อนแอมากพอที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน แต่ยังไม่อ่อนแอพอที่จะส่งสัญญาณภาวะเศรษฐกิจถดถอย

นอกจากนี้รายงานจากสถาบันการจัดการอุปทาน (Institute for Supply Management) ระบุว่า แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคบริการขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โยดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นมาที่ 52.0 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จาก 50.1 ในเดือนกรกฎาคม และสูงกว่า 50.9 ที่นักวิเคราะห์คาด แต่การจ้างงานในภาคบริการยังซบเซา และหดตัวเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน

ข้อมูลทั้งหมดถือเป็นสัญญาณล่าสุดของความไม่แน่นอนในตลาดแรงงาน ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 17 กันยายน โดย fed funds futures เพิ่มขึ้นหลังจากรายงานของ ADP ตามเครื่องมือ FedWatch ของ CME Group ซึ่งบ่งชี้ว่ามีโอกาส 97% ที่อัตราดอกเบี้ยจะลดลง

นักลงทุนยังรอรายงานข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนสิงหาคมของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นข้อมูลการจ้างงานที่สำคัญในวันศุกร์ เพราะต้องการตัวเลขที่จะช่วยหนุนโอกาสในการลดอัตราดอกเบี้ยโดยไม่ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย

โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า จะเพิ่มขึ้นเพียง 74,000 จากเพิ่มขึ้น 73,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม และคาดว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% จาก 4.2%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวลงหลังจากข้อมูลของ ADP ช่วยลดแรงกดดันต่อตลาด

อย่างไรก็ตามยังมีความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงแรงกดดันต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพราะวุฒิสภาจะพิจารณาการเสนอชื่อสตีเฟน มิรันเข้าเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ หลังทรัมป์ปลดลิซ๋า คุก ออกจากตำแหน่ง และมิรันบอกว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่งปัจจุบันที่ทำเนียบขาวหากได้รับการรับรองให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการเฟด

หุ้นAmerican Eagle Outfitters พุ่ง 38% หลังบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ยอดขายในไตรมาส 3 ที่สูงกว่าการคาดการณ์ของจากแคมเปญโฆษณาที่ใช้ดาราดังอย่าง ซิดนีย์ สวีนีย์ และ แทรวิส เคลซี ซูเปอร์สตาร์นักอเมริกันฟุตบอล NFL

หุ้น Amazon เพิ่มขึ้นมากกว่า 4% หลังบริษัทประกาศว่าธุรกิจอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมมีลูกค้าสายการบินรายแรกแล้ว ตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป JetBlue จะติดตั้ง Project Kuiper ของ Amazon สำหรับบริการ Wi-Fi ฟรีบนเครื่องบิน

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกจากความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน แรงกดดันในตลาดพันธบัตรที่ผ่อนคลายลงก็ช่วยหนุนดัชนีหลักเช่นกัน

ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 550.09 จุด เพิ่มขึ้น 3.31 จุด, +0.61%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,216.87 จุด เพิ่มขึ้น 38.88 จุด, +0.42%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,698.92 จุด ลดลง 20.79 จุด, -0.27%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,770.33 จุด เพิ่มขึ้น 175.53 จุด, +0.74%

กลุ่มสื่อสารและโทรคมนาคมนำการปรับขึ้น โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 1.9%

ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลง ส่งผลให้เฟดมีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ย โดยการจ้างงานภาคเอกชนเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนสิงหาคม และเจ้าหน้าที่เฟดหลายคนที่ให้สัมภาษณ์เมื่อวันพุธก็ชี้ให้เห็นถึงการลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตเช่นกัน ความสนใจของตลาดอยู่ที่ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์ ซึ่งอาจช่วยหนุนความคาดหวังเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนมากขึ้น

ตลาดคลายกังวลลง หลังจากความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายทางการคลังที่ขับเคลื่อนด้วยหนี้ในประเทศพัฒนาแล้ว ได้ทำเกิดการเทขายในตลาดหุ้นเมื่อต้นสัปดาห์นี้

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยูโรโซนอ่อนตัวลง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเยอรมนีอายุ 30 ปีลดลงมาที่ 3.3439% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรฝรั่งเศสลดลงมาที่ 4.402% หลังจากแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2009 ท่ามกลางความกังวลว่ารัฐบาลอาจล่มสลายอีกครั้ง

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะถูกทดสอบอีกครั้ง เมื่อนายกรัฐมนตรีฟรองซัวส์ บายรูของฝรั่งเศส เผชิญกับการลงมติไว้วางใจในสัปดาห์หน้า ท่ามกลางความกังวลว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยของเขาอาจล่มสลาย หลังจากที่รัฐบาลผลักดันให้มีการรัดเข็มขัดงบประมาณในปี 2026

หุ้นกลุ่มสินค้าหรูที่พึ่งตลาดจีนฉุดตลาดลง โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านแฟชั่นอย่าง Burberry, Christian Dior และ LVMH ร่วงลงระหว่าง 2.8% ถึง 4.2% หลังตลาดหุ้นจีนร่วงลงเมื่อคืนนี้ เนื่องจากมีรายงานว่าจีนต้องการชะลอความร้อนแรงของตลลาดหุ้น

ดัชนีกลุ่มสินค้าหรูของยุโรป ลดลง 1.24% ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสันทนาการลดลง 0.8% โดย Ryanair ลดลง 3.2% และ Easyjet ลดลง 4.2%

หุ้น Sanofi ร่วงลง 8.3% สู่ระดับต่ำสุดของดัชนี STOXX หลังจากข้อมูลการทดลองระยะสุดท้ายของยา amlitelimab ซึ่งเป็นยารักษาโรคอักเสบของบริษัทยาฝรั่งเศส ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

หุ้น Volvo Cars ลดลง 3.3% หลังจากยอดขายในเดือนสิงหาคมลดลง 9% จากปีก่อน

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 49 เซนต์ หรือ 0.77% ปิดที่ 63.48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 61 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 66.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–