HoonSmart.com>>กรุงเทพดุสิตเวชการ- รพ.ศิริราช -สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร ผู้นำภาคธุรกิจและวิชาการด้านสุขภาพ ชี้ไทยแกร่งสุดในภูมิภาคด้านเฮลท์เทคและการแพทย์ขั้นสูง มั่นใจไทยมีโอกาสก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพระดับโลกได้ แต่ต้องยกระดับเทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูง ลดต้นทุนการรักษา สร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุน ดันสู่เศรษฐกิจใหม่ของประเทศ
จากเวทีเสวนา หัวข้อ “Health Tech and Advanced Theraputic Medicine: Potential New S-Curves for Thailand’s Healthcare Industry”(เทคโนโลยีและการแพทย์ขั้นสูง: S-Curve ใหม่อุตสาหกรรมสุขภาพไทย) มีการถกแนวทางยกระดับอุตสาหกรรมสุขภาพไทยสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับภูมิภาค โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูง การสร้างระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพ และการปรับโครงสร้างการลงทุนให้ตอบโจทย์ตลาดโลก
โดยมีผู้ร่วมอภิปราย ได้แก่ ดร. ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ กรรมการบริหาร BDMS,ดร. ศุภชัย ปาจริยานนท์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง RISE,ศ.นพ. สิทธิ์ สาธรสุเมธี รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม คณะแพทยศาสตร์ศิริราช ดำเนินรายการโดย นพ. นำ ตันธุวนิตย์ ที่ปรึกษาอาวุโส EY
BDMS ชูจุดแข็งบุคลากรไทย–เร่งผลิตยา+อุปกรณ์ในประเทศ
ดร. ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ กรรมการบริหาร บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) กล่าวว่า บุคลากรทางการแพทย์ของไทย ทั้ง แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข คือ จุดแข็งและความเป็นเอกลักษณ์ของอุตสาหกรรมสุขภาพของไทย จากการที่มี
1. ความรู้ความสามารถในระดับผู้เชี่ยวชาญในด้านการรักษาพยาบาล
2. ความเอื้ออารีต่อผู้ป่วย การดูแลเอาใจใส่
3. ความเห็นอกเห็นใจที่บุคลากรทางการแพทย์ของไทยมีต่อผู้ป่วย
ถือว่าเป็นจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายของการบำบัดรักษาของโลกก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการรักษายังสูงจากการพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์และยา จากต่างประเทศ นั่นทำให้ค่ารักษาพยาบาลมีราคาสูง หากสามารถลงทุนผลิตภายในเองได้ จะทำให้ค่ารักษาพยาบาลถูกลงได้ จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงและสร้าง S-Curve ใหม่ให้กับอุตสาหกรรม ที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะทำให้สำเร็จได้
“มองว่าไทยและภูมิภาคอาเซียนมีศักยภาพเพียงพอต่อการลงทุนในด้านนี้ ด้วยจำนวนประชากรกว่า 100 ล้านคนในภูมิภาค ถือว่ามีตลาดใหญ่พอที่จะคุ้มค่ากับการลงทุนระยะยาว ขณะที่ไทย มีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง ระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างดีด้วย”ดร. ก้องเกียรติ กล่าว
ดร. ก้องเกียรติ ยกตัวอย่าง ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ที่สามารถตอบสนองนโยบาลของรัฐบาลได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีงานวิจัยว่าการตรวจมะเร็งเต้านม สามารถตรวจได้ด้วยการทดสอบยีนส์ ภายในเวลาไม่กี่เดือน ผู้ป่วยในระบบประกันสุขภาพทั่วหน้าก็สามารถรับการตรวจได้ ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพของไทยในมุมมองใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการด้านสุขภาพมากยิ่งขึ้น
นี่คือสิ่งที่ทาง BDMS มองเห็นถึงโอกาส และได้สนับสนุนในโครงการวิจัยด้านสุขภาพของไทยในหลายๆ โครงการ ต้องรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ใช่เพื่อการแข่งขัน แต่เป็นการมองไปที่ประชาชน เปิดโอกาสให้คนได้เข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
“สังคมที่มีความสุขคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน เริ่มจากประเทศไทยไปสู่ระดับภูมิภาค และระดับโลก เราต้องพร้อมใจกันเป็นทีมไทยแลนด์”ดร.ก้องเกียรติ กล่าว
ศิริราช เร่งวิจัย AI–จีโนมิกส์–สเต็มเซลล์
ศ.นพ. สิทธิ์ สาธรสุเมธี รองคณบดีฝ่ายวิจัยเเละนวัตกรรม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นนักวิจัยและผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาค้นคว้าด้านเทคโนโลยีสุขภาพ รพ.ศิริราช พร้อมที่จะก้าวไปสู่การเป็นสถาบันวิจัยที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 1 ใน100 อันดับแรกของโลกภายใน 5-10 ปี ต่อจากนี้
ทั้งนี้ จะเน้นการวิจัย และพัฒนาเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยมีผลงานที่จับต้องได้
-การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI)เทคโนโลยีการแพทย์ดิจิทัลเข้ามาใช้ ช่วยให้การวินิจฉัยโรคแม่นยำกว่า 90% และนำไปใช้ในโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ
-การทำระเบียนประวัติคนไข้โดยใช้ AI ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีข้อมูลและประวัติการรักษากับตัวสะดวกต่อการไปรักษาได้ทุกสถานพยาบาล
-นวัตกรรมที่ทางศิริราชทำสำเร็จแล้วคือ Mobile Stroke Unit โดยในรถจะมีอุปกรณ์ซีทีสแกน ที่สามารถส่งรูปภาพและข้อมูลไปยังศัลยแพทย์ที่เตรียมการผ่าตัดรักษาได้ทันทีเมื่อผู้ป่วยเดินทางถึงโรงพยาบาล ที่ช่วยลดเวลาในการรักษาโรคหลอดเลือดสมองได้ถึง 50% เพิ่มอัตราการให้ยาสลายลิ่มเลือดหรือการเปิดหลอดเลือดด้วยสายสวนมากขึ้น 3 เท่า และเพิ่มจำนวนผู้ป่วยที่ฟื้นตัวจากความพิการได้ถึง 2 เท่า
-นอกจากนี้ ยังมีโครงการวิจัยด้านจีโนมิกส์ของศิริราชที่เน้นไปที่การวิจัย CAR-T Cell สำหรับการตรวจและรักษาโรคมะเร็ง
ยกตัวอย่าง การรักษามะเร็งเม็ดเลือดต้องใช้เงินสูงถึง 15-16 ล้านบาทต่อคนต่อเคส ซึ่งหากทางศิริราชสามารถวิจัยและพัฒนาเครื่องมือที่ผลิตได้เอง ก็จะสามารถลดค่ารักษาลงไปได้เป็นจำนวนมาก
“สิ่งที่ประเทศไทยต้องการในขณะนี้คือ National Health Sandbox และการสนับสนุนจากภาครัฐในการลดความยุ่งยากและความซับซ้อนในการขอจดสิทธิบัตรสำหรับนักวิจัยและกลุ่มบริษัท สตาร์ทอัพที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาในอุตสาหกรรมด้านสุขภาพให้ทันสมัย เทียบได้กับเทคโนโลยีจากต่างประเทศ”ศ.นพ. สิทธิ์ กล่าว
RISE เสนอตั้ง Healthcare Sandbox
ดร. ศุภชัย ปาจริยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อร่วมตั้ง สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร (RISE) กล่าวว่า การพัฒนายาและนวัตกรรมการรักษาในปัจจุบันสามารถลดระยะเวลาจาก 5 ปีเหลือเพียง 1 ปี พร้อมเข้าสู่การทดลองเชิงคลินิกได้ทันที
ในฐานะที่สถาบันฯ เป็นโครงการที่ช่วยบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ทอัพ (Startups) ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ มองว่าไทยมีศักยภาพในการให้บริการทางสุขภาพอย่างมาก เห็นได้จากมีโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก JCI จำนวนหลายโรงพยาบาล และยังมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญในหลากหลายแขนง
ขณะที่ การเปลี่ยนงานวิจัยเป็นธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย บริษัทต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในไทย จะต้องหาหุ้นส่วนทางธุรกิจที่เข้าใจผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมแล้ว ยังเผชิญอุปสรรคจากขั้นตอนการขอใบอนุญาตและเอกสารทางราชการที่ใช้เวลานานและมีความซับซ้อน เช่นการขอ อย. อาจใช้เวลานานเป็นปี
ขณะเดียวกัน บริษัทไทยที่จะเดินหน้าไปสู่ต่างประเทศ ก็ประสบปัญหาขาดแคลนทุนและการสนับสนุนจากรัฐบาล
โดยผู้ลงทุนในไทยจะได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ประมาณ 100,000 – 150,000 เหรียญสหรัฐต่อปี แต่บริษัทเหล่านี้ต้องการเงินสนับสนุนมากถึง 500,000 – 1,000,000 เหรียญสหรัฐต่อปีจึงจะสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากจะแก้ปัญหาข้างต้น รัฐบาลจะต้องสร้างทางลัดและระบบนิเวศที่เหมาะสมให้กับบริษัทเหล่านี้ ให้มีความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีนวัตกรรมมากขึ้น ดึงแรงงานที่มีทักษะและความสามารถเข้ามาทำงานในประเทศ และดึงแรงงานไทยในต่างประเทศกลับเข้ามาในประเทศ เป็นสิ่งจำเป็นและจะสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้ เสนอให้สร้าง Healthcare Sandbox เพื่อดึงบริษัทวิจัยและบริษัทยาเข้ามาร่วมมือ พร้อมถ่ายทอดความรู้ด้านการขอใบอนุญาต เช่น FDA ให้กับบริษัทไทย ซึ่งในปัจจุบันไทยมีบริษัทวิจัยและพัฒนาทางการแพทย์จำนวนมาก แต่ผลิตภัณฑ์หลักคือ ถุงมือยาง
ดร.ศุภชัย ยกตัวอย่างนวัตกรรมบริษัท Qvin จากสหรัฐฯ สามารถตรวจเลือดผ่านผ้าอนามัยสำหรับคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และเชื่อมต่อผลตรวจผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งสะท้อนแนวทางการพัฒนาที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคโดยตรง
