HoomSmart.om>>”ปตท.”(PTT) ชูกลยุทธ์มาถูกทาง เพิ่ม EBITDA และกระแสเงินสด รักษาวินัยทางการเงิน ผลงานเติบโตเข้าเป้าหมาย กำไรครึ่งปีนี้ 44,848 ล้านบาท ท่ามกลางปัจจัยภายนอกที่ท้าทาย ส่วนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น PTTGC-TOP-IRPC โดยปตท.ยังคงถือหุ้นใหญ่ จะจบดีล ปี 69 บริหารเงินสดเก่ง นำเงิน 2 หมื่นล้านบาทไปลงทุนตราสารหนี้ที่เชื่อมโยง ESG ได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 0.40% หุ้นกู้มีความต้องการล้นต้องเพิ่มวงเงิน

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ปตท.มั่นใจในกลยุทธ์เพื่อ EBITDA Uplift เดินมาถูกทาง โดยครึ่งแรกของปี 2568 ยังคงสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ด้วยกำไรสุทธิ 44,848 ล้านบาท เทียบกับกำไรทั้งปี 2567 จำนวน 90,072 ล้านบาท กระแสเงินสดเพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายลดลง แม้ว่าจะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกและมีกำไรจากรายการพิเศษน้อยกว่าปีก่อนก็ตาม
สำหรับกลยุทธ์เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มปตท.ทุกมิติ ระยะสั้น ประกอบด้วย
1.การบริหารความร่วมมือด้าน Supply Chain และ Marketing ของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ D1 และ Project One (P1) เพื่อยกระดับ Synergy ภายในกลุ่ม ปตท. และเตรียมความพร้อมขยายตลาดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ครึ่งปีแรกทำได้ 2,383 ล้านบาท มั่นใจเป้าหมายทั้งปีที่ 4,325 ล้านบาท และ 5,800 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2573
2. เรื่อง Operational Excellence (MissionX) ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ (Lean Process) ควบคู่กับการทำ Change Management และ Best Practice Sharing เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ครึ่งปีทำได้แล้ว 4,700 ล้านบาท เป้าหมายปี 2568 อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท และ 30,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2570
3. ขับเคลื่อน Digital Transformation (Axis) โดยผลักดันให้เกิดการพัฒนา Use Cases สนับสนุนธุรกิจกลุ่ม ปตท. พร้อมทั้งพัฒนา Infrastructure และศักยภาพพนักงานครึ่งปีนี้ทำได้จำนวน 60 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีจำนวน 200 ล้านบาท และ 12,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2572
4. Asset Monetization (A1) การบริหารสินทรัพย์เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม ปตท. เพิ่ม Asset Optimization & Synergy และปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสม ซึ่งจะเริ่มสร้างกระแสเงินสดอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง รวมปีนี้จำนวน 38,000 ล้านบาท และ 77,000 ล้านบาทในปี 2569 สร้าง Synergy และ Optimization Cash 100,000 ล้านบาทในปี 2568-2569 และเพิ่ม ROIC อีก 5-10% ซึ่งในครึ่งปีแรกบริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ EV และล่าสุดขายหุ้นในบริษัท Neo Mobility Asia ปัจจุบันเหลือธุรกิจ EV Charger ที่เป็นการร่วมมือกับบริษัทปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เพื่อรักษาระดับความน่าเชื่อถือในการลงทุนของบริษัทในกลุ่ม โดยปตท.ได้เรทติ้งเท่ากับประเทศ
” การบริหารสินทรัพย์บนหลักการที่บริษัทในกลุ่มมีการลงทุน ถัง ท่อ ไฟฟ้า ซ้ำกัน จึงต้องนำมาบริหารให้มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน “นายคงกระพันกล่าว
สำหรับแผนระยะกลาง ได้แก่ Reshape P&R Portfolio โครงการปรับโครงสร้างธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ของบริษัท PTTGC, TOP และ IRPC เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก (Flagship) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่มีศักยภาพ และตั้งเป้าจะสรุปรายชื่อพันธมิตรที่ผ่านการคัดเลือก (Shortlist Partner) ภายในปี 2568 และเริ่มดำเนินการตามแผนให้แล้วเสร็จภายในปี 2569 โดยบริษัทปตท.ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการขยายธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Growth): ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 10 ล้านตันต่อปี (MTPA) ภายในปี 2573 และเพิ่มเป็น 15 ล้านตันต่อปีภายในปี 2578
ส่วนแผนระยะยาวมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคตและพลังงานสะอาด ได้แก่ เทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) มีแผนพัฒนาโครงการ CCS ทั้งที่แหล่งอาทิตย์และในพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย พลังงานไฮโดรเจน (Hydrogen) จัดทำแผนการดำเนินงานสำหรับพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวภายในปี 2568 และวางแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2573
นายคงกระพันกล่าวว่า ธุรกิจ Hydrocarbon ที่เป็นธุรกิจหลักของ ปตท. มีความเชี่ยวชาญ เดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ มุ่งเน้นเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง อาทิ การขยายธุรกิจด้านสำรวจและผลิต โดย บริษัปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ได้ขยายการสำรวจและผลิตในแหล่งใหม่ๆ โดยมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นจากทั้งแหล่งอาทิตย์ แหล่งสินภูฮ่อม และแหล่ง MTJDA รวมไปถึงชนะการประมูลในโครงการ Reggane II
“ปตท.ตั้งเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น Global LNG Player สร้างการเติบโต ขยาย LNG Portfolio สู่เป้าหมาย 10 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573 และ 15 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2578 พร้อมลงนามข้อตกลงร่วมศึกษาการจัดหา LNG ระยะยาวกับบริษัท 8 Star Alaska, LLC ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนธุรกิจ Non-Hydrocarbon มีความก้าวหน้าที่ดี เดินตามแผนกลยุทธ์ปรับพอร์ตลงทุน โดยธุรกิจ Life Science ร่วมกับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ สร้างการเติบโตแบบพึ่งพาตนเอง (Self-funding) ปรับการถือหุ้น Lotus ผ่านธุรกรรมการขายหุ้น เพื่อเพิ่มความคล่องตัว รวมทั้งปรับโครงสร้างธุรกิจ EV จำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย “นายคงกระพันกล่าว
นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ดำเนินการสร้างความแข็งแรงร่วมกับสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่านกิจกรรมและโครงการสำคัญที่ได้ดำเนินการช่วงครึ่งปี 2568 ได้แก่ 1) การผนึกพันธมิตรทางการเงินต่างๆ ลงทุนในตราสารหนี้ที่เชื่อมโยงกับแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยจะเพิ่มอัตราผลตอบแทนประมาณ 0.40% ของเงินลงทุนจำนวน 20,000 ล้านบาท และเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ ที่มีความต้องการสูงกว่ามูลค่าที่กำหนดไว้ จึงต้องขยายวงเงิน และยังมีการขาย Young Saver Bond เป็นครั้งแรก เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ
กลุ่ม ปตท. ร่วมบรรเทาความเดือดร้อนในทุกวิกฤตของประชาชนและประเทศ อาทิ การเร่งส่งมอบถุงยังชีพและสิ่งของจำเป็นไปยังศูนย์พักพิงผู้อพยพในสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา และการลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยใน จ.แพร่ และ จ.น่าน ให้การสนับสนุนเกษตรกรไทยในสภาวะผลผลิตล้นตลาด ผ่านโครงการชวนคุณสร้างรอยยิ้มให้เกษตรกร และโครงการชุมชนยิ้มได้อย่างต่อเนื่อง
ปตท. ยังคงสานต่อการเผยแพร่โครงการตามพระบรมราโชบายด้านการพัฒนาแหล่งน้ำทั่วประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านภาพยนตร์สั้นเฉลิมพระเกียรติชุด สายน้ำแห่งชีวิต และจัดกิจกรรม สายธารพระเมตตา เปรมประชาวนารักษ์ เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมแก่เยาวชน ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นชัดถึงการที่กลุ่มปตท. ให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจควบคู่ความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างสมดุลและยั่งยืน
“ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยมีหัวใจในการสร้างความสมดุลทางพลังงานให้กับประเทศ สร้างการเติบโตควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสมดุลและยั่งยืน ในเรื่องการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2568 จะพิจารณาโดยคำนึงถึงอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของตลาด และความคาดหวังของนักลงทุนด้วย โดยมีเป้าหมายให้ผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผลสม่ำเสมอ”นายคงกระพันกล่าว
