
โดย..สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน
ในช่วงนี้ข่าวบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือ อยู่ในตำแหน่งที่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็น พระ หมอ ฯลฯ แต่กลับทำตัวหลอกลวงชาวบ้าน จนทำให้สังคมเสื่อมศรัทธาในอาชีพนั้นๆไปหมด บางคนถึงกลับเลิกบริจาคเงินให้วัด ฯลฯ ทำเอาพระดีๆเดือดร้อนตามไปด้วย
ว่าแล้ว ก็นึกมาได้ว่า จริงๆแล้วไม่ได้มีแต่พระ หรือ หมอ ที่หลอกลวงชาวบ้าน แต่ทุกวันนี้เรามักจะเห็นคนหิวแสง ทำตัวให้มีชื่อในสื่อออนไลน์ ก็เพื่อตัวเองจะได้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะการทำตัวให้มีชื่อเสียงก็เหมือนการทำการตลาดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเจตนาไม่ดี อยากมีชื่อเสียงเพื่อหลอกลวงผู้คน อันนี้แหละผิด
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร หรือ ป้องกันตัวเองได้อย่างไรจากคนมีชื่อเสียง หรือ อยู่ในตำแหน่งที่น่าเชื่อถือที่มีเจตนามาหลอกลวงเรา
“รู้เขา รู้เรา รบ 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้ง” เราจะป้องกันไม่ให้โดนหลอด เรามาดูเหตุผลทางจิตวิทยากันก่อนนะ ว่าเราโดนหลอกเพราะอะไร และ จะป้องกันตัวอย่างไร
ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ทำให้คนเชื่อบุคคลมีชื่อเสียง ได้รับความน่าเชื่อถือ ทำให้สามารถหลอกลวงผู้คนทั่วไปได้ง่าย มีดังนี้
Authority Bias (อคติจากผู้มีอำนาจ)
เมื่อใครสักคนมีตำแหน่งหรือสถานะที่ดู “น่าเชื่อถือ” เช่น หมอ พระ นักวิชาการ ผู้คนมักจะ ลดการตั้งคำถาม เพราะสมองเรามีการทึกทักเอาว่า “เขาน่าจะรู้ดีกว่าเรา” “เขาน่าจะเป็นคนดี” ฯลฯ
ในกรณีหมอ ในฐานะ “หมอ” ผู้ฟังจะรู้สึกว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้ดี เพราะคนจะจบหมอได้ ต้องฉลาดมากๆ และโดยอาชีพเป็นอาชีพที่มีจรรยาบรรณสูง จึงเป็นอาชีพที่ได้รับการเคารพนับถือจากสังคมมาก แต่….อาชีพหมอแม้จะมีเกียริต มีความน่าเชื่อถือ แต่ไม่ได้หมายความว่า หมอทุกคนเป็นคนดี น่าเชื่อถือ เป็นคนละเรื่องกัน
Halo Effect (ออร่าแห่งคุณงามความดี)
คำว่า Halo นั้นหมายถึง แสงสว่างเป็นวงกลมอยู่เหนือศีรษะของนักบุญในคริสต์ศาสนา ซึ่งส่อความหมายของความศักดิ์สิทธิ์ หรือมีอะไรพิเศษน่าชื่นชม
halo effect เป็นรูปแบบความคิดหนึ่งที่เรามีต่อสิ่งที่เรารู้สึกชอบหรือรู้สึกดีด้วย จนทำให้การตัดสินใจของเราออกจะลำเอียงและประเมินสิ่งต่างๆ ดีกว่าความเป็นจริง และมองข้ามการพิจารณาข้อเสียไป ในทางกลับกันก็มีอคติกับคนที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกับความชื่นชอบของเรา
ตัวอย่างเช่น เรามักจะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งหน้าตาและการแต่งกาย เช่น คนหน้าตาดีน่าจะนิสัยดี คนบุคลิกดีน่าจะเป็นคนฉลาด คนที่ใส่แว่นน่าจะเป็นคนฉลาด เรียบร้อย
ตั้งใจทำงาน คนที่แต่งตัวภูมิฐานจะดูเป็นคนน่าเชื่อถือ คนที่เป็นเพศทางเลือกจะมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ คนที่มีคุณสมบัติบางอย่างโดดเด่น (พูดเก่ง ดูใจบุญ สอนธรรมะไพเราะ) สมองเรามักจะเหมารวมว่าด้านอื่นก็ดีเช่นกัน อย่างเช่น ถ้าพระเทศน์เก่ง คนฟังก็มักจะคิดว่า “ท่านต้องมีศีลบริสุทธิ์” ทั้งที่ความจริง ความสามารถหนึ่งไม่ได้การันตีคุณธรรมอีกด้าน เป็นคนละเรื่องกัน ฯลฯ
ในกรณีพระ ในฐานะพระมีภาพจำเรื่องศีลธรรม จึงเป็นภาพของบุคคลที่ยึดมั่นในศีลธรรม ละแล้วซึ่งกิเลส จึงยากที่คนจะสงสัยว่า พระที่มีตำแหน่งสูง มีฐานะที่ดีมากในสังคม จะกลับเป็นคนที่ “มือถือสาก ปากถือศีล” ทำผิดศีลธรรมยิ่งกว่าชาวบ้านทั่วไป หลอกเงินจากชาวบ้านผู้ศรัทธา ดูแล้วไม่ต่างจากแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์เลย
Social Proof (อิทธิพลจากฝูงชน)
คือ คนมักเชื่อสิ่งที่ “คนหมู่มาก” เชื่อหรือทำ ถ้าเห็นคนแชร์คลิป ฟังเทศน์ บริจาค ให้กับวัดใด หรือ หลวงพ่ออะไร เราก็จะเกิดความรู้สึกว่า “วัดหรือหลวงพ่อนั้นต้องมีดีจริง” ทำให้เราลดการตรวจสอบข้อมูล บริจาคเงินตาม หรือ ร่วมด้วยช่วยแชร์ให้คนอื่นช่วยกันบริจาคมากยิ่งขึ้น
Cognitive Dissonance (ความไม่สอดคล้องทางความคิด)
เมื่อเราลงทุนไปแล้ว (เช่น บริจาคเงิน ให้ความไว้วางใจ) สมองจะพยายามหาเหตุผลสนับสนุนว่า “เขาดีจริง” เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าตัวเองโง่ ทำให้แม้มีข่าวเสียหาย บางคนยังปกป้อง เพราะการยอมรับว่าถูกหลอกมันเจ็บปวด
Need for Meaning & Hope (ความต้องการความหมายและความหวัง)
แล้วทำไมช่วงนี้ถึงมีข่าวการหลอกลวงเพิ่มมากขึ้น ต้องขอบคุณโซเชี่ยลมีเดียที่ทำให้ข่าวต่างๆแพร่กระจายได้เร็ว และทั่วถึง แม้หลายเรื่องอาจหลอกลวงมาเป็น 10 ปี แต่ช่วงเวลานี้ก็มีการหลอกลวงหลายกรณีที่เพิ่งระบาดในช่วงไม่นานมานี้เอง เหตุผลส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเวลาชีวิตเจอปัญหา อย่างเช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญาหอาชญากรรม ปัญหาสภาวะแวดล้อมที่ทำให้สังคมไทยเครียด สุขภาพกาย สุขภาพจิตแย่ คนก็จะมองหาความช่วยเหลือจากคนที่ดูมีพลังหรือความรู้พิเศษบุคคลมีชื่อเสียงด้านจิตวิญญาณ/สุขภาพ จึงเหมือนเป็น “ที่พึ่งทางใจ”ความรู้สึกนี้ทำให้สมองเลือกเชื่อมากกว่าตั้งข้อสงสัย
7 เทคนิคกันโดนหลอกจากคนดัง
1. แยก “ตำแหน่ง” ออกจาก “ความน่าเชื่อถือ” Authority Bias ทำให้เราเชื่อคนที่มีตำแหน่งสูง
วิธีป้องกัน: ฟังข้อมูลแล้วแยกว่าพูดในฐานะ “ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” หรือแค่ “ความเห็นส่วนตัว”
ตัวอย่าง: หมอที่เชี่ยวชาญโรคหัวใจ ไม่ได้แปลว่ารู้เรื่องการลงทุน
2. ตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง การได้ข้อมูลจากแหล่งเดียว ทำให้เราเสี่ยงต่อการถูกบิดเบือน
วิธีป้องกัน: ใช้หลัก cross-check อย่างน้อย 2–3 แหล่งอิสระ
ตัวอย่าง: ถ้าพระบอกว่าเครื่องรางนี้ป้องกันโรค ให้ดูว่ามีหลักฐานวิทยาศาสตร์หรือไม่
3. วิเคราะห์ว่าเขา “ได้ประโยชน์อะไร” ผู้พูดมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) หรือไม่ เพราะหากมีผลประโยชน์แอบแฝง อาจทำให้ข้อมูลมีอคติ
วิธีป้องกัน: ถามตัวเอง “เขาได้เงินหรือชื่อเสียงจากสิ่งนี้ไหม?”
ตัวอย่าง: ถ้าคนดังบอกให้ซื้ออาหารเสริม แล้วเขาเป็นเจ้าของแบรนด์ หรือเขาได้รับค่าจ้าง เราก็ต้องระวัง
4. อย่าเชื่อเพราะ “คนส่วนใหญ่เชื่อ” Social Proof ทำให้เราคิดว่าของดีเพราะคนเยอะใช้
วิธีป้องกัน: ดูเนื้อหาจริง ไม่ใช่ยอดไลก์หรือแชร์
ตัวอย่าง: คลิปเทศน์ยอดวิวล้านครั้ง ไม่ได้หมายความว่าทุกประโยคถูกต้อง
5. ระวังการกระตุ้นอารมณ์มากเกินไป อารมณ์ต่างๆ เช่น ความกลัว ความหวัง ความศรัทธา ฯลฯ จะกดทับเหตุผล
วิธีป้องกัน: ถ้าเนื้อหาเร้าใจเกินไป ให้หยุดพักก่อนตัดสินใจ
ตัวอย่าง: พระใช้คำพูดปลุกเร้าจนเรารู้สึกผิดแล้วรีบโอนเงินทำบุญ
6. สังเกตสัญญาณการ “ปิดกั้นคำถาม” คนที่ไม่ให้ตั้งคำถามมักมีอะไรปิดบังอยู่เสมอ
วิธีป้องกัน: ถ้ามีใครบอก “อย่าคิดเยอะ เชื่อเถอะ” → ต้องคิดมากขึ้น
ตัวอย่าง: กลุ่มแฟนคลับห้ามคนตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวบุคคล
7. ฝึก การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และ มีสติ (Mindfulness)
การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) คือ การคิดอย่างมีเหตุผลและมีวิจารณญาณ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล ประเมินสถานการณ์ และตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ ไม่ใช่แค่การมองโลกในแง่ลบหรือจับผิด. มันคือการตั้งคำถาม ตรวจสอบข้อมูล และประเมินหลักฐานต่างๆ ก่อนที่จะเชื่อหรือตัดสินใจอะไร
การมีสติ (Mindfulness) ยามากะ โซโกะ นักปราชญ์, นักยุทธศาสตร์, และผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้คนสำคัญในช่วงศตวรรษที่ 17 ได้เปิดเผยว่าเคล็ดลับสู่พลังที่แท้จริงของนักรบนั้นไม่ได้อยู่ที่การฝึกฝนเพลงดาบเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การบ่มเพาะวินัยทางใจในทุกขณะของชีวิตประจำวัน
หัวใจของการฝึกจิตแบบซามูไรเริ่มต้นจากความเข้าใจที่ว่า สภาพของจิตใจ (Mind) นั้นขึ้นอยู่กับสภาวะของอารมณ์ (Mood) โดยตรง ยามากะ โซโกะ สอนว่า “เมื่ออารมณ์ของท่านสงบ จิตใจของท่านก็จะสงบ” ดังนั้น การฝึกฝนจึงไม่ใช่การบังคับจิตใจโดยตรง แต่เป็นการฝึกฝนอารมณ์ ผ่านการสร้างสมดุลระหว่างการกระทำและการหยุดพักในชีวิตประจำวัน เพื่อไม่ให้อารมณ์ถูกปลุกเร้าอย่างไร้เหตุผล นี่คือรากฐานของการขัดเกลาตนเองและความมั่นคงทางจิตใจอย่างแท้จริง
ทำไมสำคัญ: เป็นเกราะป้องกันเมื่อเราเผชิญข้อมูลใหม่
วิธีป้องกัน: ก่อนเชื่อให้ถาม “หลักฐานคืออะไร?”, “มีมุมมองตรงข้ามไหม?”
ตัวอย่าง: ก่อนซื้อคอร์สออนไลน์ราคาแพง ให้หาคนที่เคยเรียนแล้วมาพูดทั้งข้อดีและข้อเสีย
สูตรจำง่าย: “ฟัง – ถาม – ตรวจ – เว้น”
• ฟัง ด้วยใจเปิด แต่ไม่ปล่อยวางสมอง
• ถาม เพื่อหาหลักฐาน
• ตรวจ ข้ามหลายแหล่ง
• เว้น เวลาก่อนตัดสินใจ
———————————————————————————————————————————————————–

