HoonSmart.com>>”บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” (BTS) เปิดงบไตรมาส 1 ปี 68/69 ขาดทุนสุทธิลดเหลือ 230 ล้านบาท จากงวดปีก่อนขาดทุน 374 ล้านบาท รายได้รวม 7,248 ล้านบาท โต 37.9% หลังรวมรายได้ RABBIT-ROCTEC หนุน Recurring EBITDA เพิ่มขึ้น 42.1% ด้านผู้บริหาร คาดนโยบายรัฐเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย หนุนผู้โดยสารทั้งระบบเพิ่มขึ้นราว 30 – 40% ผลดีต่อสื่อโฆษณาของ VGI
บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568/69 (สิ้นสุดมิ.ย.2568) ขาดทุนสุทธิ 229.57 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.014 บาท ขาดทุนลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 374.22 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.028 บาท
ในไตรมาส 1 ปี 2568/69 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 7,248 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.9% หรือ 1,992 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการรวมรายได้ของบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ (RABBIT) และบริษัท ร็อคเทค โกลบอล (ROCTEC) จำนวนรวม 1,907 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี2568/69 หลังจากการเข้าซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer: VTO) ตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย.2567
นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการรับเหมาจำนวน 470 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จทันการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายน 2568 อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นดังกล่าวถูกหักกลบบางส่วนด้วยการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจำนวน 62 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากการไม่มีการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยโครงการรถไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับงานค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) (ฟ้องครั้งที่ 1) หลังจากที่ได้รับชำระหนี้จากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ค่าใช้จ่ายรวม 5,296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.8% หรือ 1,396 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
กำไรจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้นเป็นประจำก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยและภาษี (Recurring EBITDA) จำนวน 2,731 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.1% หรือ 809 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของ Recurring EBITDA ของทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ MATCH จากการรวมงบการเงินของบริษัทดังกล่าว นอกจากนี้ Recurring
EBITDA ของธุรกิจ MOVE เติบโตขึ้นจากการให้บริการรับเหมาของโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีชมพู
บริษัทฯ มีขาดทุนสุทธิจำนวน 449 ล้านบาท (เมื่อเทียบกับขาดทุนสุทธิจำนวน 604 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี2567/68) และมีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 230 ล้านบาท (เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจำนวน 374 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน) ขาดทุนสุทธิน้อยลงนี้มีสาเหตุหลักมาจาก การเพิ่มขึ้นของ Recurring EBITDA อย่างไรก็ตาม ถูกหักกลบบางส่วนด้วย ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น
สินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 มิ.ย.2568 จำนวน 322,393 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.1% หรือ 455 ล้านบาท จาก ณ วันที่ 31 มี.ค.2568
ด้านมุมมองผู้บริหาร เผยจากนโยบายการเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของรัฐบาล ที่จะครอบคลุมรถไฟฟ้าทั้งหมดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทางภาครัฐตั้งเป้าว่าจะเริ่มดำเนิน
นโยบายในวันที่ 1 ต.ค.2568 บริษัทฯ พร้อมสนับสนุนนโยบายดังกล่าว และคาดว่าจากนโยบายดังกล่าวจะทำให้ผู้โดยสารทั้งระบบเพิ่มขึ้นราว 30 – 40% ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระบบขนส่งของประชาชน นอกจากนี้บริษัทฯ เชื่อว่านโยบายนี้จะนำไปสู่การมองเห็นสื่อโฆษณาที่มากขึ้น ถือเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจสื่อโฆษณาของ VGI ภายใต้ธุรกิจ MIX
สำหรับธุรกิจที่นอกเหนือจากระบบขนส่งทางรางภายใต้ธุรกิจ MOVE โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสาย M81 (บางใหญ่– กาญจนบุรี) ซึ่งดำเนินการภายใต้สัญญา O&M คาดว่าจะมีการเปิดให้บริการทดลองเต็มเวลาอย่างเป็นทางการในเดือนส.ค.นี้ โดยโครงการดังกล่าวจะช่วยเสริมความเชื่อมโยงในระดับภูมิภาคยกระดับระบบขนส่งสาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสร้างรายได้จากการดำเนินงานที่มั่นคงให้แก่บริษัทฯ ในระยะยาว ทั้งนี้บริษัทฯ มีแผนเริ่มดำเนินงานโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายอีกหนึ่งเส้นทาง คือ สาย M6 (บางปะอิน – นครราชสีมา) ในปีถัดไป

