ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลงกว่า 550 จุด นักลงทุนกลับมากังวลความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐฯและจีน เจรจาไม่สำเร็จ ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อย ส่วนราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดตลาดวันที่ 7 ธันวาคม 2561 ที่ 24,388.95 จุด ลดลง 558.72 จุด หรือ 2.24% ส่งผลให้สัปดาห์นี้ดัชนี DJIA ลดลงแล้ว 1,150 จุด เนื่องจากนักลงทุนกังวลความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ท่ามกลางความสับสนในการให้ความเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องในทำเนียบขาว
ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติ ลาร์รี่ คุดโลว์ให้ความเห็นในเชิงบวกต่อการเจรจาแก้ไขความขัดแย้งทางการค้ากับจีนในการให้สัมภาษณ์กับ สำนักข่าวซีเอ็นบีซี ขณะที่ที่ปรึกษาทางการค้า ปีเตอร์ นาวารโร ซึ่งให้สัมภาษณ์สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็นเตือนว่าจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนหากการเจรจาไม่ประสบความสำเร็จภายใน 90 วัน
คุดโลว์กล่าวว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ส่งสัญญาณว่าอาจจะขยายเวลาการเจรจาการค้ากับจีนออกไปจาก 90 วัน ขณะที่นาร์วาโรกล่าวว่า พร้อมที่จะถอนตัวจากการเจรจาหากไม่สามารถแก้ไขปัญหากับจีนได้ภายใน 90 วัน และประธานาธิบดีทรัมป์จะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากสินค้านำเข้าของจีนรวมวงเงิน 200 พันล้านดอลลาร์ หากจีนไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายการค้า
กระทรวงแรงงานเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานเดือนพฤศจิกายนว่า เพิ่มขึ้น 155,000 ตำแหน่งต่ำกว่า 200,000 ตำแหน่งที่นักวิเคราะห์คาด แต่ข้อมูลนี้ไม่ได้เป็นปัจจัยทำให้เกิดแรงเทขายในตลาด เนื่องจากนักลงทุนมองว่าการจ้างงานที่ชะลอตัว จะส่งผลให้ธนาคารกลาง(เฟด) ลดแรงกดดันในการรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ 3.7% และค่าจ้างรายชั่วโมงเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6 เซนต์ หรือ 0.2% จากเดือนตุลาคมและ 3.1% จากระยะเดียวกันของปีก่อนและเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2009
หุ้นที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับจีนพากันอ่อนตัวลง โดยหุ้นแอปเปิลลดลง 3.57% หุ้นโบอิ้งลดลง 2.62% หุ้นแคทเธอพิลลาร์ลดลง 3.75 % เช่นเดียวกับหุ้นในกลุ่มค้าปลีกที่ลดลง 6.5% โดยหุ้นวอล์มาร์ทลดลง 1.67% หุ้นทาร์เก็ตลดลง 2.49% เนื่องจากมีคู่ค้ากับจีนเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ซีอีโอวอล์มาร์ทกล่าวว่าอาจจะต้องปรับราคาขายปลีกขึ้นหากความขัดแย้งทางการรุนแรงขึ้น
หุ้นใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีที่ร่วงเป็นแรงฉุดตลาด โดยหุ้นเฟซบุ๊คลดลง 1.58% หุ้นอเมซอนลดลง 4.12% หุ้นเน็กฟลิกซ์ลดลง 6.27% หุ้นอัลฟาเบทลดลง 2.92%
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น เมื่อการประชุมกลุ่มโอเปคและรัสเซียตกลงลดกำลังการผลิตลงรวม 1.2 ล้านบาร์เรลล์ ตั้งแต่เดือนมกราคม โดยหุ้นเชฟรอนเพิ่มขึ้น 0.36% หุ้นเอ็กซอนโมบิลเพิ่ม 0.91% หุ้นฮัลลิเบอร์ตันเพิ่มขึ้น 0.37% หุ้นมาราธอนปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น 1.05% หุ้นเดวอนเอ็นเนอร์จีเพิ่มขึ้น 1.98%
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,633.08 จุด ลดลง 62.87 จุด,-2.33%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,969.25 จุด ลดลง 219.01 จุด, -3.05%
ตลาดหุ้นยุโรปบวกเล็กน้อย
ตลาดยุโรปปิดบวกหลังจากลดลงไปที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีเมื่อวันพฤหัสบดี แต่ตลาดปรับขึ้นได้ไม่ได้มาก เนื่องจากนักลงทุนยังมีความกังวลต่อความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และภาวะตลาดหุ้นโลกที่อ่อนตัวลง
ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลังคลายความกังวลต่อการจับกุมผู้บริหารบริษัทหัวเว่ยในแคนาดา โดยหุ้นโนเกียและหุ้นอิริคสันต่างเพิ่มขึ้นมากกว่า 3%
ในตลาดหุ้นลอนดอนหุ้นเทสโก้เพิ่มขึ้น 4.1% หลังจาก บีเอ็นพีบาริพาส์ปรับคำแนะนำการลงทุนจาก neutral เป็น underperform
ในตลาดเยอรมนี หุ้น Fresenisu ลดลง 17.7% หลังจากปรับลดประมาณการณ์ผลประกอบการ
หุ้น Amer Sports ในฟินแลนด์เพิ่มขึ้น 9% จากกลุ่มนักลงทุนนำโดย Anta Sports ในจีนเสนอซื้อกิจการในมูลค่า 4.6 พันล้านยูโร
ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 6,778.11 จุด เพิ่มขึ้น 74.06 จุด,+1.10%
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 345.45 จุด เพิ่มขึ้น 2.14 จุด,+0.62%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,813.13 จุด เพิ่มขึ้น 32.67 จุด,+0.68%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,788.09 จุด ลดลง 22.89 จุด, -0.21%
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมกราคมเพิ่มขึ้น 1.12 ดอลลาร์ปิดที่ 52.61 ดอลลาร์ ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 1.61 ดอลลาร์ ปิดที่ 61.67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล