บล.ไพน์ เวลท์ฯ ชี้หุ้นโลกครึ่งปีหลังขึ้นต่อ เสิร์ฟพอร์ตไตรมาส 3 แบบ 3 สไตล์

HoonSmart.com>> “บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น” มองครึ่งปีหลังตลาดหุ้นทั่วโลกยังรักษาแนวโน้มขาขึ้นได้ต่อ นำโดยสหรัฐฯ ท่ามกลางความผันผวน กระจายลงทุนหุ้นสหรัฐฯ-ยุโรป-จีน-ญี่ปุ่น-เวียดนาม-อินเดีย” แนะจัดพอร์ตการลงทุน 3 แบบ 3 สไตล์ตามระดับความเสี่ยง

นายปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในครึ่งปีหลังตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อ นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งและแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ตามบนราคาหุ้นที่ไม่ถูกเมื่อเทียบกับอดีตประกอบกับการอ่อนค่าลงของเงินสกุลดอลลาร์อาจทำให้ตลาดหุ้นเผชิญกับความผันผวนที่สูงและนักลงทุนสถาบันมีแนวโน้มกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทำให้ความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและอาจอ่อนไหวต่อปัจจัยลบในระยะสั้น

“กลยุทธ์ช่วงครึ่งปีหลัง คือ การมองหาตลาดการลงทุนหรือสินทรัพย์ที่จะได้ประโยชน์จากการจัดสรรเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนสถาบันหรือเป็นเป้าหมายที่นักลงทุนให้ความสนใจและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระดับการประเมินมูลค่า(Valuation) ที่น่าสนใจกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยงและแนวโน้มการเติบโตของภูมิภาคนั้นๆ”นายปิยะทัศน์ กล่าว

 
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ลดน้ำหนักกลุ่มเทค-“ยุโรป” น่าสนใจ

สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นตลาดที่ให้น้ำหนักในพอร์ตหลัก ถึงแม้ราคาหุ้นสหรัฐฯ จะทำนิวไฮต่อเนื่อง และล่าสุดโกลแมนแซคส์ ปรับเป้าดัชนี S&P500 จากเดิม 6,500 จุด เป็น 7,100 จุด ซึ่ง Upside ไม่มากประมาณ 10% แต่การลงทุนโดยเน้นหุ้นรายตัวหรือผ่านกองทุนรวมมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าได้ในระยะ 6-12 เดือน

“ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เราชอบน้อยลงจากเดิมที่เคย Overweight ปรับลดลงเป็น Slightly Overweight เพราะราคาแพง จึงแนะนำลดสัดส่วนหุ้นเทคลงบ้าง ประกอบกับภาพเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอย จึงมองหุ้นขนาดกลางและเล็ก การลงทุนตามธีม Thematic เช่น บล็อกเชน ไซเบอร์ซิเคียริตี้ส์ เซมิคอนดัคเตอร์ น่าสนใจ”นายปิยะทัศน์ กล่าว

ส่วนตลาดหุ้นยุโรปก็น่าสนใจหลังจากหลายประเทศได้ลดระดับการขาดดุลและฐานะการคลังดีขึ้น ทำให้มีการใช้จ่ายผ่านโครงสร้างพื้นฐานและมีการใช้จ่ายด้านกลาโหมมากขึ้น รวมทั้งนโยบายดอกเบี้ยขาลงชัดเจน แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปเติบโตปีละไม่มากเพียง 1% แต่ในแง่ของหุ้นน่าลงทุน เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากต่างประเทศค่อนข้างมาก ในแง่ Upside ตลาดหุ้นยุโรปน้อยกว่า 10% แต่ช่วงหลังนักลงทุนเริ่มมองหาหุ้นขนาดกลางและเล็กมากขึ้น หุ้นแบงก์ยุโรปหรือหุ้นธุรกิจบริการ เป็นต้น

ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ หลังจากชะลอการขึ้นดอกเบี้ยและเริ่มมีนโยบายหนุนในประเทศ รวมทั้งภาษีสหรัฐฯเก็บในอัตรา 15% แต่ตลาดอาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นหวือหวาเหมือนปีก่อนที่ราคาถูกมาก

 

“หุ้นจีน H-Share” เด่น – หุ้นเกาหลีใต้ Upside สูง 30%

ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ชอบตลาดหุ้นจีน H-Share มากสุด อันดับสอง คือ เวียดนามและอินเดีย ซึ่งมีคาแรคเตอร์ที่ต่างกัน เป็นตัวกลางที่คุยได้ทั้งจีนและสหรัฐฯ

สำหรับตลาดหุ้นจีน มองผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ทั้งตลาด A-Share และ H-Share มี Upside ประมาณ 15% แต่ Domestic Demand ในจีนยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน รวมทั้งต้องการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนจากรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้การฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนในปี 2568-2569 มีแนวโน้มที่จะถูกนำโดยหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี จึงชอบตลาด H-Share มากกว่า โดยเฉพาะหุ้นเทค จึงมองแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้อีก นักวิเคราะห์ประเมินผลดำเนินงานดีกว่าคาดและปรับราคาขึ้นต่อเนื่อง ปรับประมาณการกำไรจากนัวิเคราะห์ตั้งแต่ม.ค.จนถึงก.ค. มองว่าเป็นการฟื้นตัวที่มีจุดเปลี่ยนเชิงบวก

“ตลาดหุ้นจีนมี Upside ประมาณ 15% มากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ต้องลงทุนเกิน 1 ปี ขณะที่หุ้นไทยต้องถือเกิน 2 ปี”นายปิยะทัศน์ กล่าว

สำหรับตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เดินตามรอยตลาดหุ้นญี่ปุ่นผ่านการทำ Value Up Program ที่มุ่งเน้นยกระดับมาตรฐานจรรยาบรรณ การกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียนและการปรับปรุงอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญของหุ้นเกาหลีใต้ (ลด Korea Discount) ซึ่งเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมปลายปีก่อนและจุดเปลี่ยนจากการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองและตั้งเป้าจีดีพีเติบโต 3% สูงเป็น 2 เท่าจากที่ IMF คาดการณ์ไว้ที่ 0.8-1.5% รวมทั้งผู้นำรัฐบาลตั้งเป้าอยากเห็นดัชนีหุ้นแตะ 4,500 จุด ในวาระบริหาร 5 ปี ซึ่งมี Upside ถึง 30% จากปัจจุบัน

“จากสัดส่วนหลักของดัชนี MSCI เกาหลีใต้ ซึ่งประกอบด้วยหุ้นกลุ่ม Information Technology สัดส่วน 35.63% รองลงมากลุ่ม Industry ภาคการผลิตชิป สัดส่วน 20.46% และ Finance สัดส่วน 14.39% ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มรวมกันกว่า 60% ดังนั้นหากหุ้น 3 กลุ่มปรับตัวขึ้นมาก็นำตลาดได้จริง ในขณะที่การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนสูงประมาณ 10-20% โอกาสถึงเป้าหมายก็มีมากขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินก็ปรับตัวขึ้นมาหลังมีการซื้อหุ้นคืน ปรับปรุง ROE จึงมองตลาดหุ้นเกาหลีน่าสนใจ ราคายังถูกและมีการเติบโตสูง มีหุ้นนำตลาดชัดเจน”

ปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล

ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม น่าสนใจ GDP เติบโต 6-7% ต่อปี แรงงานถูกและประชากรอยู่ในช่วงเติบโต ปิดดีลภาษีกับสหรัฐฯที่ 20% รวมทั้งหลังเปลี่ยนตัวผู้นำเป็นโตเลิมและมีการปฎิรูปหน่วยงานภาครัฐและระบบราชการ เสถียรภาพการเมืองในประเทศดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสปรับระดับจากตลาดชายขอบไปสู่ระดับตลาดประเทศเกิดใหม่ภายใน 1-2 ปี ต่อจากนี้ (MSCI) การเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนเวียดนามมีแนวโน้มสูงเช่นเดียวกับอินเดีย แต่มีความถูกในระดับที่เทียบเคียงได้กับตลาดหุ้นจีนและมีจุดยืนที่ดีท่ามกลางความขัดแย้งในเชิงภูมิศาสตร์ จึงเป็นตลาดหุ้นที่ดีสำหรับการลงทุนในระยะยาว Upside มากกว่า 10%

ตลาดหุ้นอินเดีย มี GDP สูงในระดับมากกว่า 6% ต่อปีโดยเฉลี่ยต่อเนื่องตลอด 10 ปี (ยกเว้นปีที่เกิดโควิด 19) และแนวโน้มยังเติบโตระดับ 6% ในปี 2568-2569 จากการประเมินของ IMFขณะที่อัตราการเติบโตของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์อินเดียซึ่งมีผลทางตรงสะท้อนการบริโภคของอินเดียเติบโตในระดับ High Single Digit – Double Digit นับตั้งแต่ปี 2022 จนถึงปัจจุบัน ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนและตลาดหุ้นอินเดียก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกัน แต่จากราคาหุ้นที่ไม่ถูกแล้ว การลงทุนต้องถือเกิน 1 ปี
 

“แนะจัดพอร์ตลงทุน 3 แบบ 3 สไตล์”

นายปิยะทัศน์ กล่าวว่า การประเมินความเสี่ยงของผู้ลงทุนควบคู่กับการพิจารณาลงทุน เป็นแนวทางปฎิบัติที่บริษัทฯ แนะนำให้ลูกค้าทราบถึงความต้องการลงทุนของตนเองก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อจัดสรรกองทุนที่เหมาะสมให้ตอบโจทย์การลงทุนของแต่ละท่าน

“บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น แนะนำพอร์ตการลงทุน 3 แบบ สำหรับลูกค้า 3 ประเภท 1. กลุ่มที่รับความเสี่ยงได้ต่ำแนะนำให้เลือก Conservative Portfolio 2. กลุ่มที่รับความเสี่ยงและความผันผวนได้สูง แนะนำ Growth Portfolio และ 3. กลุ่มที่รับความเสี่ยงได้สูงและเป็นลูกค้าประเภท Ultra-High Net Worth ทางบล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น แนะนำพอร์ตการลงทุนที่เปิดโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์คือลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนแต่ยังคงสามารถหา Alpha ของพอร์ตได้โดยไม่จำกัดแค่การลงทุนในหุ้น”นายปิยะทัศน์ กล่าว

สำหรับกลยุทธ์ Conservative Portfolio เน้นควบคุมความผันผวนระหว่างการลงทุนให้ต่ำโดยกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ ตราสารหนี้ 70% หุ้น 25% และสินทรัพย์ทางเลือก 5% ของพอร์ต โดยกองทุนตราสารหนี้ที่แนะนำในประเทศเลือกกองทุน ES-CASH กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐมากกว่า 50% ของพอร์ตการลงทุน เป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นคุณภาพสูง โดยมี Yield to Maturity ของพอร์ตราว 1.73%

กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแนะกองทุน UGIS-N เป็นกองทุนตราสารหนี้ลงทุนในกองทุนหลักอย่าง PIMCO GIS Income Fund ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงระยะกลาง (Duration ประมาณ 5 ปี) โดยมี Yield to Maturity ของพอร์ต 6.55% ซึ่งจุดเด่นของกองทุนนี้คือความเชี่ยวชาญของ Pimco ด้วยการบริหารจัดการ Duration ที่สามารถลดหรือเพิ่มได้ตามความเหมาะสม

สำหรับอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของกองทุนนี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 4% – 6% บนสมมุติฐานที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดดอกเบี้ยลง 2-3 ครั้งในปีนี้ ในส่วนของกองทุนหุ้นที่แนะนำได้แก่ ES-NDQPIN-A (กองทุนสหรัฐฯอิงดัชนี NASDAQ) กองทุนหุ้นยุโรป ONE-EUROEQ โดยตลาดหุ้นยุโรปในอีกหนึ่งตลาดที่ถือเป็น DM Alternative และกองทุนหุ้นอินเดีย ES-INDAE สำหรับกองทุนสินทรัพย์ทางเลือกประเภททองคำแนะนำกองทุน SCBGOLDH

ในส่วนของ Growth Portfolio เน้นสร้างผลตอบแทนที่สูงพร้อมกับการกระจายการลงทุน โดยลงทุนในตราสารหนี้ 20% หุ้น 70% และสินทรัพย์ทางเลือก 10% ของพอร์ต นอกจากการปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นแล้ว สำหรับพอร์ตการลงทุนนี้จะมีการลงทุนในกองทุนหุ้นจีน, เกาหลีใต้และเวียดนาม โดยแนะนำกองทุน กองทุนหุ้นจีนเลือกกองทุน MEGA10AICHINA-A กองทุนหุ้นเกาหลีใต้เลือกกองทุน SCBKEQTG และ สำหรับกองทุนหุ้นเวียดนามเลือกกองทุน PRINCIPAL VNEQ-A

ขณะที่ลูกค้ากลุ่ม Ultra-High Net Worth กลุ่มนี้จะมีทางเลือกสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายขึ้น เช่น สินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) อาทิ Private Credit, Private Infrastructure, Private Equity รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ อย่างกรมธรรม์ประกันชีวิต เงินสกุลดิจิทัลอย่าง Bitcoin และ Ethereum โดยสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เราคัดสรรมาให้ อาทิ กองทุน Private Credit แนะนำกองทุน ASP-SC-UI

สำหรับโดดเด่นของกองทุนนี้ คือ กระจายความเสี่ยงอย่างสูง ปล่อยกู้ให้กับบริษัทขนาดใหญ่กว่า 170 รายทั่วโลก โดยจำกัดสัดส่วนการลงทุนต่อรายเพียง 1–3% ของ NAV เพื่อลดผลกระทบหากเกิดเหตุการณ์เฉพาะราย กองทุน Private Infrastructure แนะนำกองทุน MPINFRA-UI ลงทุนในกองทุนหลักอย่าง Master Fund : Ares Core Infrastructure Fund (ACI) จุดเด่นของกองทุนคือเน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างเสร็จและดำเนินงานแล้ว พร้อมสร้างกระแสเงินสดจากลูกค้าที่น่าเชื่อถือสัญญายาวเฉลี่ย 16 ปี

นอกจากนี้ แนะนำกองทุน ONE-LIFESET-UIG เป็นกองทุนที่ลงทุนในกรมธรรม์ประกันชีวิตสหรัฐฯ ซึ่งมีการซื้อขายในตลาดรอง โดย Life Settlement เป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่มีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์ดั้งเดิมและปัจจัยภายนอกต่ำ (Low correlation) ไม่ว่าเป็น สงครามการค้า การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจมหภาค หรือความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ ช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้ดีในช่วงที่ตลาดทุนมีความผันผวนสูง

อย่างไรก็ดี หากผู้ลงทุนสนใจทำแบบประเมินความเสี่ยงแบบเฉพาะเจาะจงรายบุคคล สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด 02-095-8999

 
อ่านข่าว

บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น “ปรับเพิ่มน้ำหนัก” หุ้นไทย กรณีการเมืองเปลี่ยนขั้วหนุนดัชนี 1,350 จุด