บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น “ปรับเพิ่มน้ำหนัก” หุ้นไทย กรณีการเมืองเปลี่ยนขั้วหนุนดัชนี 1,350 จุด

HoonSmart.com>>บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยเป็น “Slighty Weight” จาก “Neutral” มองราคาถูก “ฟันด์โฟลว์-สถาบัน” เริ่มทยอยซื้อหุ้นไทย หวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเมืองเปลี่ยนขั้วดึงความเชื่อมั่น หนุนดัชนีพุ่ง 1,300-1,350 จุด ปลายปีนี้

ปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล

นายปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมปรับน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทยจาก “Neutral” เป็น “Slighty Weight” จากมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ถูกในระดับ -1SD เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปี และบนความหวังในการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ซึ่งเห็นได้จากเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้าและนักลงทุนสถาบันเริ่มกลับมาทยอยซื้อหุ้นไทยและลดสัดส่วนการถือเงินสดลง โดยเงินที่ไหลกลับมาซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์ สื่อสาร โรงไฟฟ้า อย่างไรก็ตามหุ้นไทยไม่ได้เป็นภาพของการเติบโต การลงทุนจึงต้องระยะยาว

ขณะเดียวกันมองว่าฟันด์โฟลว์ที่ไหลกลับเข้ามาซื้อหุ้นน่าจะถือมากกว่า 1 ปี จากเทขายหุ้นไทยออกไปมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามต้องติดตามวันที่ 4 ส.ค.นี้ เป็นวันสุดท้ายการส่งคำชี้แจงคดีคลิปเสียงฮุน เซน ของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร หลังขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา

“สำหรับเป้าหมายหุ้นไทยปลายปีนี้ กรณี Best Case (ดีสุด) อยู่ที่ 1,300-1,350 จุด บนความคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการเปลี่ยนขั้วการเมืองที่ชัดเจน กรณี Base Case (ฐาน) อยู่ที่ 1,250-1,270 จุด หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงการเมือง แต่แรงซื้อหุ้นด้วยเหตุผลที่ราคาถูก ขณะที่ Forward P/E อยู่ที่ 13-15 เท่า”นายปิยะทัศน์ กล่าว

ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำกว่าศักยภาพ จากการประเมินของ IMF ประเมินการเติบโตของ GDP ไทยปี 2568-2569 ที่ 1.8% และ 1.6% รวมทั้งอัตราภาษีสินค้านำเข้าระหว่างไทย-กับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยโดยรวมและส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทย

ขณะที่ภาวะสุญญากาศทางการเมืองในช่วงเวลาสำคัญอย่างการผ่านงบประมาณปี 2569 ปัจจุบันนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พักการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2568 เป็นต้นไป จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาด ซึ่งการตัดสินยังไม่ความไม่แน่นอนในเรื่องช่วงเวลา ส่วนการผ่านงบประมาณปี 2569 แม้จะผ่านไปได้ แต่หากมีการปรับ ครม. หรือกรณีแย่ที่สุดคือการยุบสภาอาจทำให้การเบิกจ่ายจริงเกิดความล่าช้าขึ้นได้

นอกจากนี้การขยายตัวของสินเชื่อไทยต่ำ ธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงรัดเข็มขัดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ภาคการบริโภคในไทยชะลอตัว ส่วนภาคเอกชนก็มีแนวโน้มชะลอการลงทุน

สำหรับจุดเปลี่ยนและประเด็นที่น่าจับตาของตลาดหุ้นไทยจะมาจาก 1.การเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุน เช่นเกิดจุดเปลี่ยนทางการเมืองทางใดทางหนึ่งอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม ทำให้เกิดความหวังใหม่และเห็นต่างชาติกลับมาซื้อหุ้น 2. ผลลัพธ์การเจรจาการค้าได้ระดับอัตราภาษีที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ ในโซนเอเชียและ 3.กนง. ส่งสัญญาณการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยอย่างชัดเจนและต่อเนื่องในปี 2568-2569
 

อ่านข่าว
https://hoonsmart.com/archives/369679