HoonSmart.om>>”ปูนซิเมนต์ไทย” (SCC) เผยครึ่งปี 68 ดีกว่าคาด กระแสเงินสดสูงถึง 30,320 ล้านบาท ไตรมาส 2 ลดหนี้ได้ 8,365 ล้านบาท ครึ่งปีหลังยังคงท้าทายสูง เศรษฐกิจโลกชะลอจาก 3 ปัจจัย เร่งกลยุทธ์เสริมแกร่ง ชูจุดแข็งฐานผลิตหลากหลายในอาเซียน หากไทยโดนภาษีสูง เพิ่มผลิตที่เวียดนาม-อินโดฯส่งออกสหรัฐ ลดต้นทุนแข่งผู้ผลิตระดับโลก หาตลาดใหม่ ปี 69 เจาะจีนสำเร็จ มองวิกฤตดีต่ออนาคต ทิ้งธุรกิจไม่ดี กำไรพิเศษ เปิดผลิต LSP ส.ค. ดีกว่าหยุดมีค่าใช้จ่าย 1,000 ล้าน/เดือน

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย(SCC) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า เอสซีจี มุ่งดำเนินมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินมาต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2567 ทำให้ครึ่งแรกของปี 2568 กระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่งเกินคาด อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้น 21% เทียบครึ่งปีหลังของปี 2567 จากการปรับพอร์ตลงทุน การหยุดธุรกิจไม่ทำกำไร และการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกธุรกิจ ร่วมกับใช้เทคโนโลยีและ AI เพิ่มประสิทธิภาพจัดการต้นทุนได้ดี และธุรกิจเคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ (Gap) เริ่มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบที่ลดลง นอกจากนี้ ยังมีรายได้เงินปันผลรับต่อเนื่อง
ขณะที่ไตรมาส 2/2568 บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนลดลง 7,164 ล้านบาท และหนี้สินสุทธิลดลง 8,365 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาส 1/2568 และมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 45,542 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2568 มีกำไรสุทธิ 17,337 ล้านบาท รวมรายการพิเศษ 15,170 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีมีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจจะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาทจากการลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ เช่น PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซีย และบางธุรกิจในทวีปยุโรปของบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) รวมทั้งบางธุรกิจในอินโดนีเซีย ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท
ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ เช่น เอสซีจีพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products – HVA) ที่ตอบโจทย์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์และสุขภาพ รวมถึงโซลูชันด้านพลังงาน และ เอสซีจี เดคคอร์ ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปยังการนำเข้าสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อาทิ ปูนกาวและยาแนว ประตูและหน้าต่าง ท็อปเคาน์เตอร์ครัว และเจาะตลาดมูลค่าเพิ่มสูงด้วยสินค้า HVA เช่น กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท
ส่วนกรณีสหรัฐเพิ่มภาษีนำเข้านั้น ในส่วนของประเทศไทยจะทราบผลในคืนนี้ แต่หากสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ก็พร้อมเพิ่มการผลิตไปเวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่มีการผลิตสัดส่วน 30% มีโอกาสเพิ่มขึ้นถึง 45% ขอยืนยันว่าไม่ทิ้งประเทศไทยที่เป็นฐานการผลิต 50% ซึ่งสงครามการค้าจะยังคงอยู่ต่อไป ซึ่งไม่รู้ว่าอีก 2-3 เดือนจะเกิดอะไรขึ้น เช่น จีนไม่ยอมสหรัฐ
แนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังของปี 2568 นายธรรมศักดิ์กล่าวว่ายังท้าทายอยู่มาก จากเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลก ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน จึงเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ (Business เพื่อสู้กับทุกความท้าทายดังกล่าว ได้แก่
1.) ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน” (Regional Optimization) ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบ เน้นผลิตและส่งออกจากเวียดนามที่ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ได้เปรียบอยู่ที่ 20% และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ประกอบกับเป็นฐานการบริโภคที่มีศักยภาพเติบโตสูง นอกจากนี้ เอสซีจีซี เตรียมแผนกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) ในช่วงปลายเดือนส.ค. 2568 ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP คืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570
เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ กำลังการผลิตสูงสุด 8,000 ตันต่อวัน รองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนที่เวียดนาม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง อีกทั้งบริหารต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ และ เอสซีจีพี เดินหน้าเสริมแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ จนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร
นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาด “ปูนเม็ด” (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด “3D Printing Solution” เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย มีการขยายตลาด “หลังคาและฝาฝ้า” ที่พัฒนาคุณสมบัติให้เหมาะกับลูกค้าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง การขยายตลาด “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ 2” ซึ่งได้รับการรับรอง มอก.ใหม่ 2594-2567 และ Environmental Product Declaration (EPD) North America รายแรกของไทย ไปออสเตรเลีย รวมทั้งเตรียมออก “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3” สู่ตลาดเป็นรายแรก ปัจจุบันอยู่ระหว่างทำ Pilot Project กับกว่า 15 โครงการ ของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ตลอดจนทวีปยุโรป ที่มีการขยายตลาด “กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน” ไปสาธารณรัฐเช็ก ของเอสซีจี เดคคอร์ และการปรับกระบวนการผลิต “บรรจุภัณฑ์อาหาร” เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน ของเอสซีจีพี
2.) “ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น การใช้หุ่นยนต์และ AI เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ช่วยลดขั้นตอนออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่และลดส่วนสูญเสีย รวมถึงการลดต้นทุนบริหารจัดการ จากการรวมศูนย์การผลิตของโรงงานที่มีความซ้ำซ้อน
3.) เพิ่ม“สินค้า Smart Value – HVA – Green” รุกตลาดเติบโตสูง เร่งขยาย สินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products – SVP) ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เช่น “ปูน ADAMAX” ในเวียดนาม “ปูน 5 Star” ในกัมพูชา “ปูน Bezt” ในอินโดนีเซีย
“ เรามองวิกฤตครั้งนี้ สร้างอนาคตที่แข็งแกร่งในระยะยาว ในการลดค่าใช้จ่าย พร้อมตัดหรือลดธุรกิจที่ไม่ดีออกไป เพิ่มธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ สร้างกำไรรายการพิเศษอย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์สงครามการค้าจะยังไม่แน่นอน เชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ที่ชัดเจน การปรับตัวที่รวดเร็ว และความทุ่มเทของทีมงานทุกกลุ่มธุรกิจ จะช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรไว้ได้ อีกทั้งความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งระบบนิเวศทางธุรกิจ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน”นายธรรมศักดิ์กล่าว
นายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) กล่าวว่า ช่วงที่หยุดเดินเครื่องโครงการ ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) มีค่าใช้จ่ายเดือนละ 1,000 ล้านบาท ทำให้ครึ่งปีแรกขาดทุน การกลับมาเดินเครื่องผลิต 90% ของกำลังการผลิตทั้งหมดในปลายเดือนส.ค.นี้ น่าจะดีขึ้น หลังจากมาร์จิ้นฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดแล้ว ราคาน้ำมันดิบลดลงส่งผลให้ราคาวัตถุดิบลดลงในไตรมาสที่ 2 แนวโน้มยังต้องเผชิญความท้าทาย กำลังผลิตใหม่ๆจากจีนยังคงเพิ่มขึ้น จึงต้องระมัดระวังในการบริหารสินค้าคงคลัง และขายในราคาที่ดี นอกจากนี้จีนมีนโยบายให้โรงปิโตรที่มีอายุ 30 ปีหยุดผลิต และเลิกแข่งขันด้านราคา หันมาเพิ่มคุณ น่าจะส่งผลดีต่อ SCGC
นายธรรมศักดิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า เอสซีจี ร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ จัดโครงการ ‘NZAP: Net Zero Accelerator Program’ และ ‘Go Together’ ต่อเนื่อง รวมทั้งจัด Leadership Forum ในงาน ‘ESG Symposium’ ช่วงส.ค.-ต.ค. 2568 ซึ่งเชิญองค์กรชั้นนำระดับโลก เช่น สำนักงานประสานงานการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (DCO) สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) รวมทั้งองค์กรชั้นนำระดับประเทศ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย มาร่วมหาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ธุรกิจ ตลอดจนผลักดันการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้ขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Green Transition) และพร้อมแข่งขันระดับโลกท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ได้
ด้านคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 ในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท เพื่อดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง กำหนดวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 13 ส.ค. 2568 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 14 ส.ค. 2568 จ่ายเงินวันที่ 28 ส.ค. 2568
การซื้อขายหุ้น SCC ราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำสุดแตะ 197 บาท และปิดที่ 201 บาท ลดลง 6 บาทหรือ -2.90%หลัประกาศกำไรไตรมาสที่ 2 สวนทางคำแนะนำของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ยังคงให้”ซื้อ” หลังเห็นกำไรออกมาดีกว่าที่คาดการณ์
