HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วง 171 จุด หลังประธานเฟดส่งสัญญาณ ยังไม่พร้อมลดดอกเบี้ย กำลังประเมินผลกระทบภาษีทรัมป์ต่อเงินเฟ้อ ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับเพิ่มขึ้น WTI แตะ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบเล็กน้อย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ปิดที่ 44,461.28 จุด ลดลง 171.71 จุด หรือ -0.38% หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางยังไม่พร้อมที่จะลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่กำลังประเมินผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อภาพรวมเงินเฟ้อ
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,362.90 จุด ลดลง 7.96 จุด, -0.12%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,129.67 จุด เพิ่มขึ้น 31.38 จุด, +0.15%
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25%-4.5% เป็นครั้งที่ 5 ในการประชุมวันพุธที่ผ่านมา แต่มติไม่เป็นเป็นเอกฉันท์ โดยผู้ว่าการเฟด มิเชลล์ โบว์แมน และคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ เห็นว่าควรลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%ในการประชุมนโยบายครั้งนี้ซึ่งตอกย้ำถึงความเห็นที่แตกต่างกันภายในธนาคารกลางเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์
นักลงทุนวิเคราะห์ความเห็นของพาวเวลล์ในการแถลงข่าวเพื่อหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินการครั้งต่อไปของเฟด หลังจากที่เฟดไม่ลดอัตราดอกเบี้ยหลังการประชุมเดือนกรกฎาคม พาวเวลล์กล่าวว่าธนาคารกลาง “ยังไม่ได้ตัดสินใจ” เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนนโยบายที่อาจเกิดขึ้นในเดือนกันยายน
“ภาระหน้าที่ของเราคือการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวให้มั่นคง และป้องกันไม่ให้ระดับราคาที่เพิ่มขึ้นเพียงครั้งเดียวกลายเป็นปัญหาเงินเฟ้อเรื้อรัง” พาวเวลล์กล่าว “ภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นในราคาสินค้าบางรายการ แต่ผลกระทบโดยรวมต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อยังคงต้องรอดูกันต่อไป”
ความเห็นของพาวเวลล์ดับความหวังของนักลงทุนที่ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน และอย่างน้อยก็ลดลงอีกครั้งก่อนสิ้นปี
เจมี ค็อกซ์ หุ้นส่วนผู้จัดการของแฮร์ริส ไฟแนนเชียล กรุ๊ป กล่าวว่า พาวเวลล์ไม่ได้ยอมต่อแรงกดดันทางการเมืองที่จะให้ลดอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น ตลาดจึงจำเป็นต้องปรับโอกาสการปรับอัตราดอกเบี้ย โดยรวมที่จะประกาศในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ปฏิกิริยาตอบสนองไม่ได้แย่นัก ส่วนใหญ่เป็นเพราะเห็นได้ชัดว่าอัตราดอกเบี้ยกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน แม้ว่าปัจจุบันพาวเวลล์จะรอดูสถานการณ์ได้
การคงดอกเบี้ยของเฟดได้ดึงให้ตลาดอ่อนตัวลงจากที่ปรับขึ้นช่วงเช้า ที่มีการรายงาน GDP เติบโตในอัตรา 3% ต่อปีในไตรมาสที่สอง ซึ่งฟื้นตัวจากการหดตัว 0.5% ครั้งแรกในรอบสามปีในไตรมาสแรก ขณะเดียวกัน การจ้างงานภาคเอกชนในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังจากหดตัว อย่างไม่คาดคิดในเดือนมิถุนายน
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) รายงาน การจ้างงานของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 104,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคมสูงกว่า 64,000 ตำแหน่งที่นักวิเคราะห์คาดจากที่ลดลง 23,000 ตำแหน่งในเดือนมิถุนายน
ข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสขึ้นทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เรียกร้องให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง โดยโพสต์บนโซเชียลมีเดียก่อนที่ธนาคารกลางจะออกแถลงการณ์นโยบายเพียงไม่กี่ชั่วโมงว่า”ช้าเกินไป ต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงตอนนี้”
หุ้น Microsoft บวก 0.1% และหุ้น Meta Platforms ลดลง 0.7% ก่อนที่ทั้งสองบริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการหลังตลาดปิดทำการ
นักลงทุนจับตาเส้นตายวันศุกร์(1 สิงหาคม 2568)ที่ทรัมป์กำหนดให้คู่ค้าต้องบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ มิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับอัตราภาษีแบบเหมาจ่าย ทรัมป์กล่าวว่าสินค้าจากอินเดียจะต้องเผชิญกับภาษี 25% ตั้งแต่วันศุกร์เป็นต้นไป เนื่องจากการเจรจาระหว่างสองประเทศดูเหมือนจะหยุดชะงัก
นอกจากนี้ยังรอข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญอื่นๆ ทั้ง จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมิถุนายน และการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกรกฎาคม
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่ทยอยรายงานเข้ามา ขณะเดียวกันก็รอข้อมูลการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญในระดับภูมิภาค ตลอดจนผลการประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 550.24 จุด ลดลง 0.12 จุด, -0.02%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,136.94 จุด เพิ่มขึ้น 0.62 จุด, +0.01%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,861.96 จุด เพิ่มขึ้น 4.60 จุด, +0.06%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,262.22 จุด เพิ่มขึ้น 44.85 จุด, +0.19%
ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งประกาศเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจของยุโรปดีขึ้น แต่ความผันผวนของการเจรจาการค้าของรัฐบาลทรัมป์ได้ส่งผลกระทบต่อผลกำไรสุทธิของบริษัทต่างๆ ไปแล้วในไตรมาสที่สอง
หุ้น UBS ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้น 1.1% กำไรไตรมาสสองของธนาคารเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจากปีก่อนหน้า จากความร่วมมือกับธนาคารรายใหญ่อื่นๆ ในการใช้ประโยชน์จากกิจกรรมการซื้อขายที่พุ่งสูงขึ้นท่ามกลางความผันผวนของตลาด
หุ้น HSBC Holdings ร่วงลง 3.8%หลังรายงานกำไรครึ่งปีแรกลดลง 27% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายครั้งเดียวที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนใน Bank of Communications ของจีน แต่ยังประกาศการซื้อหุ้นคืนใหม่มูลค่าสูงสุด 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
หุ้น Adidas ยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องแต่งกายกีฬาของเยอรมนีลดลง 11%หลัง ระบุว่าภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นของสหรัฐฯ จะทำให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 200 ล้านยูโร (231 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วงครึ่งปีหลัง และระบุอีกว่า ผลประกอบการไตรมาสสองของบริษัทได้รับผลกระทบต่อไปแล้วหลายล้านยูโรด้วยตัวเลขสองหลัก
หุ้นMercedes-Benz ผู้ผลิตรถยนต์หรูเยอรมนีร่วงลง 3.4%หลัง คาดการณ์อัตรากำไร(profit margin )ของธุรกิจรถยนต์ในปีนี้ที่ 4% ถึง 6% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นการประเมินความเสียหายจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ครั้งแรกของบริษัท
ในด้านเศรษฐกิจ ความสนใจหลักอยู่ที่การเติบโตในไตรมาสที่สองของยูโรโซนเพื่อประเมินแนวทางการตัดสินใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป
ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันพุธที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจฝรั่งเศสเติบโต 0.3% ในไตรมาสที่สอง สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของยูโรโซน
ยอดค้าปลีกของเยอรมนีก็เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนมิถุนายน โดยเพิ่มขึ้น 1.0% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ก่อนที่จะมีการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาสที่สองของประเทศ
นักลงทุนรอการตัดสินใจนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังปิดตลาดซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 79 เซนต์ หรือ 1.14% ปิดที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 73 เซนต์ หรือ 1.01% ปิดที่ 73.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
———————————————————————————————————————————————————–

