“สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์” เคาะขายไอพีโอหุ้นละ 6.30 บาท เปิดขาย 6-7 และ 11 ธ.ค.นี้ ชี้ราคาเหมาะสมเมื่อเทียบปัจจัยพื้นฐานแกร่ง ในฐานะผู้นำในกลุ่มธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษาอย่างครบวงจร โชว์ผลงานงวด 9 เดือนแรกของปี 61 รายได้โต 28.31% งานในมือแน่น 770 ล้านบาท หนุนรับรู้รายได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว คาดเข้าซื้อขายในตลาด mai 19 ธ.ค.นี้
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ (STI) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอ 6.30 บาทต่อหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 68.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 25.37% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ และได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมด้วย ผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส , บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี
เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้รวมประมาณ 428.40 ล้านบาท จะนำไปใช้ลงทุนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทักษะความรู้พนักงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ประมาณ 40 ล้านบาท ลงทุนอุปกรณ์ระบบคอมพิวเตอร์ โปรแกรมด้านการออกแบบ ควบคุมงานก่อสร้าง และการเงิน-การบัญชี ประมาณ 30 ล้านบาท ลงทุนงานระบบและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ประมาณ 20 ล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ประมาณ 338.40 ล้านบาท หวังตั้งกลุ่ม STI ให้เป็นสถาบัน ยกระดับวิศวกรให้มีมาตรฐานสากล และเติบโตเคียงคู่อุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างยั่งยืน
ด้านผลประกอบการของกลุ่ม STI ในช่วงที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรก ของปี 2561 นี้ (มกราคม – กันยายน) กลุ่ม STI มีรายได้จากการให้บริการ 443.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.31% เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2560 อยู่ที่ 346.01 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 30.48 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณงานที่ให้บริการในงวดดังกล่าว เช่น โครงการ One Bangkok และ โครงการ The PARQ เป็นต้น
บริษัทฯ มีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) อยู่ที่ 770.09 ล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวน 114 โครงการ สะท้อนการรับรู้รายได้ของกลุ่ม STI อย่างมั่นคงและสม่ำเสมอ และสนับสนุนรายได้ในปีนี้ให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ หนึ่งในงานดังกล่าว คือ โครงการ One Bangkok โครงการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ เป็นโอกาสของกลุ่ม STI ให้ได้รับงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึง การประมูลงานใหม่ๆ เพื่อสร้างการรับรู้รายได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว
นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม สายงานวาณิชธนกิจ – ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ STI เปิดเผยถึง การกำหนดราคาเสนอขาย IPO ไว้ที่ 6.30 บาทต่อหุ้น กำหนดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 6 – 7 และ 11 ธ.ค.2561 นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 19 ธ.ค.2561 ในหมวดธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “STI”
ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ประมาณ 51 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ ไม่เกิน 10.20 ล้านหุ้น กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ ไม่เกิน 6.80 ล้านหุ้น
กลุ่ม STI มีจุดเด่น จากผู้บริหารมีชื่อเสียง มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในธุรกิจมากกว่า 30 ปี ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ทั้งภาครัฐบาลและบริษัทเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเจ้าของโครงการที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง มีประสบการณ์ในงานด้านอนุรักษ์โบราณสถานอย่างโดดเด่น ซึ่งมีคู่แข่งน้อยราย และจากการมีลูกค้าอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ คอนโดมิเนียม มิกซ์ยูส อาคารสำนักงาน บ้านพักอาศัย อาคารอเนกประสงค์ เป็นต้น ทำให้ลดความเสี่ยงในการพึ่งพิงลูกค้ากลุ่มใดเป็นพิเศษ สนับสนุนให้ผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
การเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จะทำให้กลุ่ม STI สามารถเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาบุคลากร ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 600 คน รองรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้น รวมถึง นำไปพัฒนาแอพพลิเคชั่น และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้ STI เป็นอีกหนึ่งบริษัทจดทะเบียนที่น่าจับตามอง และมีแนวโน้มการเติบโตสูงตามการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ มอง STI เป็นหุ้น Growth Stock ที่มีการเติบโตโดดเด่นในระยะยาว ควบคู่กับการเป็น Dividend Stock มีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด