SCGP ครึ่งปีแรกกำไร 1,910 ลบ.จ่อปิดดีล M&P-ปีนี้ EBITDA ใกล้เป้า 1.8 หมื่นล้านบ.

HoonSmart.com>> “เอสซีจี แพคเกจจิ้ง” (SCGP) ครึ่งปีหลังรุกตลาดอาเซียนกระจายความเสี่ยงและขยายฐานธุรกิจ มั่นใจปีนี้  EBITDA ใกล้เคียงเป้า 18,000 ล้านบาท จากตลาดอินโดนีเซียเติบโตดี  เล็งปิดดีล M&P 1 ราย ใช้งบลงทุนราว 3 พันล้านบาท ส่วนครึ่งปีแรกกำไร 1,910 ล้านบาท ลดลง 40% YoY รายได้ลดลงและเงินบาทแข็งค่า แต่เพิ่มขึ้น 267% เทียบครึ่งหลังปีก่อน  ความสามารถการทำกำไรดีขึ้น พร้อมจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.25 บาท/หุ้น ขึ้น XD 8 ส.ค.นี้

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในครึ่งหลังปี 2568 กระจายความเสี่ยงและขยายฐานธุรกิจไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ควบคู่กับการขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค , ขยายโซลูชัน และบริการ พร้อมทั้งดำเนินการขาย Cross Selling เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ผ่านการปรับโครงสร้างพอร์ตลูกค้าเชิงกลยุทธ์ รวมถึงกระจายอำนาจการบริหารและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในองค์กร เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจผ่านทีมบริหารระดับภูมิภาค

สำหรับการลงทุนในครึ่งแรกปี 2568 บริษัทฯ ได้ใช้งบไปประมาณ  6,056 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 2568 ที่ 10,000 ล้านบาท  แบ่งเป็นการลงทุนเพื่อการเติบโต 7,000 ล้านบาท และงบประมาณสำหรับการบำรุงรักษา การเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต ESG และอื่น ๆ ประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าจะปิดดีล M&P  ( Merger & Partnership ) 1 ดีลครึ่งปีหลัง ในธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโต เช่น ธุรกิจบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ฯลฯ  คาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือของงบลงทุนปีนี้

บริษัทฯ เดินหน้าขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ พร้อมมองหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค และเพิ่มสัดส่วนกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค, เสริมความเป็นผู้นำในตลาด โดยให้ความสำคัญกับภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก, เพิ่มอัตรากำไรของ SCGP ผ่านกลุ่มธุรกิจที่การเติบโตสูง (EBITDA margin ระดับกลางถึงค่อนข้างดี) โดยในครึ่งแรกปี 2568 มีสัดส่วนรายได้จากการขายบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ 11% และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ 2% ซึ่งบริษัทคาดว่าปี 2569 รายได้จากการขายบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์จะเพิ่มขึ้นเป็น 12% และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์จะเพิ่มเป็น 3%

นายวิชาญ กล่าวต่อว่า ความไม่แน่นอนทางการค้าและความท้าท้ายทางเศรษฐกิจ อาเซียนยังแข็งแกร่ง จากการบริโภคภายในประเทศที่ดี และกลยุทธ์การกระจายการส่งออก โดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซียที่มีความได้เปรียบจากนโยบายภาษีที่เอื้อต่อการแข่งขัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ช่วยลดปัญหากระดาษบรรจุภัณฑ์ล้นตลาดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ด้านเงินเฟ้อในอาเซียนอยู่ในระดับมั่นคง สอดคล้องกับเป้าหมายธนาคารกลาง

ทั้งนี้ บริษัทฯมีการดำเนินกลยุทธ์เชิงรุก ท่ามกลางการปรับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ โดยบริษัทฯมีแผนรับความเสี่ยง ในส่วนการดำเนินงานของ SCGP ในอาเซียน จะเพิ่มการขาย โดยมุ่งเน้นตลาดอาเซียน และตลาดศักยภาพสูง รวมถึงประสานความร่วมมือกับลูกค้า และ OEM เพื่อปรับการผลิตและปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ส่วนในยุโรป จะปรับกระบวนการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์จากยุโรปขยายสู่อาเซียน ในส่วนของ SCGP จะเร่งดำเนินมาตรการลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน (เยื่อ, พอลิเมอร์ และพลังงาน) ซึ่งครึ่งแรกปี 2568 ลดต้นทุนได้ประมาณ 390 ล้านบาท

ทั้งนี้ รายได้ในอาเซียน +5% QoQ โดยปริมาณขายในไตรมาส 2/2568 เท่ากับ 87:17 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2668 ซึ่งเท่ากับ 80:20 และการดำเนินธุรกิจการค้าบรรจุภัณฑ์อาหารในเวียดนามยังคงเป็นไปตามแผน

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในครึ่งหลังปี 2568 โดยเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ยังคงมีความสามารถในการแข่งขันในอาเซียน ผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนในวงแคบที่ส่งผลต่อการใช้บรรจุภัณฑ์และราคาในภูมิภาครับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนไทยยังมีความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก และ FDI อยู่ภายใต้แรงกดดันส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโต และสภาวะตลาด อัตราภาษีนำเข้าที่สูงและความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

SCGP เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและระบบ AI อย่างเป็นระบบ ยกระดับประสิทธิภาพตลอดห่วงโซ่การผลิต ลดต้นทุน และเสริมความยั่งยืนระยะยาว โดยใช้ระบบอัตโนมัติ เช่น Robotic Automation ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความปลอดภัยในกระบวนการผลิต การประยุกต์ใช้ AI ในกระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ และบริหารการผลิตระหว่างโรงงาน (Cross-plant Allocation) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลด Lead Time ฯลฯ ช่วยลดต้นทุนและสร้างมูลค่าทางธุรกิจรวม 120 ล้านบาทในครึ่งปีแรก

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขับเคลื่อน ESG และเศรษฐกิจหมุนเวียน ตามแนวทางความยั่งยืนในระดับสากล โดยได้รับรางวัล Platinumจาก EcoVadis ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 อีกทั้งยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไปแล้วกว่า 169 ผลิตภัณฑ์ และ 16 กระบวนการ หรือคิดเป็นร้อยละ 50 จากเป้าหมายครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568

สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2568 รายได้จากการขาย 63,766 ล้านบาท ลดลง 6% YoY, 1% เทียบกับครึ่งหลังปี 2567 (HoH) โดย YoY ลดลงจากราคาขายสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและสายธุรกิจเยื่อและกระดาษที่ปรับลดลงตามแนวโน้มตลาดในภูมิภาค ขณะที่รายได้จากการขาย HoH ลดลงเล็กน้อยเป็นผลจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น

ส่วน EBITDA อยู่ที่ 8,589 ล้านบาท ลดลง 13% YoY, เพิ่มขึ้น 34% HoH โดยปี 2568 เป้า EBITDA 18,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงเป้าหมาย จากตลาดอินโดนีเซียมีการเติบโตที่ดี และกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 1,910 ล้านบาท ลดลง 40% YoY, เพิ่มขึ้น 267% HoH โดย EBITDA และกำไร ลดลง YoY จากรายได้ที่ลดลงและการแข็งค่าของเงินบาท ขณะที่ HoH ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวดีขึ้นจากการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดต้นทุนด้านพลังงาน

สัดส่วนรายได้ครึ่งแรกปี 2568 เร่งการเติบโตของบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค เสริมแกร่งตลาดภายในประเทศ โดยบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคเพิ่มสัดส่วนเป็น 46% ได้แรงหนุนจากปริมาณการขายที่เติบโตของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ บรรจุภัณฑ์กระดาษและพอลิเมอร์ และบรรจุภัณฑ์อาหารขณะที่กระดาษบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้ รายได้จากไทยเพิ่มขึ้นจากบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ และบรรจุภัณฑ์อาหาร ขณะที่สัดส่วนการส่งออกลดลง สอดคล้องกับกลยุทธ์การลดสัดส่วนไปยังจีน

พร้อมกันนี้ คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลดำเนินงานครึ่งแรกปี 2568 ที่อัตรา 0.25 บาท/หุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 ส.ค.2568 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) 13 ส.ค.2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 ส.ค.2568

———————————————————————————————————————————————————–