PTTGC จ่อลุยเฟส 2 รอเคาะ SAF 24 ล้านลิตร หรือพลาสติกชีวภาพ 8 หมื่นตัน/ปี

HoonSmart.com>>พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) โชว์ความสำเร็จโรงกลั่นชีวภาพ ผลิตเพื่อขายเชิงพาณิชย์ SAF 6 ล้านลิตร เดินหน้าลงทุนเพิ่มเสริมแกร่งธุรกิจ รอตัดสินใจขยายกำลังผลิต SAF 24 ล้านลิตรต่อปี หรือพลาสติกชีวภาพ/ผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ 8 หมื่นตันต่อปี ตอบสนองความต้องการของลูกค้า รอความชัดเจนการบังคับใช้ในสายการบิน มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีสู่ความยั่งยืน

นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล  (PTTGC) เปิดเผยว่า PTTGC ยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์ในการพัฒนาโรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) ครบวงจร ทั้งระยะสั้นและระยะยาวนำดิจิทัลเข้ามาใช้ เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน เสริมแกร่งธุรกิจพร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ช่วยลูกค้านำผลิตภัณฑ์ที่มี ESG ไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจระดับโลก ท่ามกลางตลาดปิโตรเคมีอยู่ในวัฎจักรลงระยะยาว

“PTTGC ใช้ความรวดเร็วในการบริหารโครงการเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายใน 1 ปี  กำลังผลิต 6 ล้านลิตรต่อปี โรงงานเดิมใช้ปิโตรเลียมน้ำมันดิบ มาใช้การแปรรูปน้ำมันพืชใช้แล้ว (UCO) ร่วมกับน้ำมันดิบ จับมือกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ในการจัดจำหน่ายให้แก่สายการบินต่างๆ เช่น สายการบินการบินไทย และบางกอก แอร์เวย์ส ตอนนี้เตรียมขยายการลงทุนเฟส 2 ซึ่งยังไม่กำหนดว่าจะเริ่มเมื่อใด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตลาดและการแข่งขันของอุตสาหกรรม”นายทศพรกล่าว

สำหรับการลงทุนเฟสแรก โครงการ SAF มีกำลังการผลิตประมาณ 6 ล้านลิตรต่อปี และมีความยืดหยุ่นสามารถแปรรูปน้ำมันพืชใช้แล้วมาผลิตพลาสติกชีวภาพ(Bio-Polymers) และผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Bio-Chemicals) อีกกว่า 10 ชนิด จำนวน 20,000 ตันต่อปี  เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมที่มองหาวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น Bio-Propylene สำหรับบรรจุภัณฑ์และชิ้นส่วนยานยนต์, Bio-BD สำหรับยางรถยนต์และรองเท้ากีฬา, และ Bio-PTA สำหรับเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวดพลาสติก PET มีมาร์จิ้นที่ดีกว่า SAF ที่ยังอยู่ระหว่างรอการบังคับใช้ในระดับสากล

ส่วนเฟสที่ 2 เพิ่มกำลังการผลิต SAF เป็น 24 ล้านลิตรต่อปีหรือผลิตพลาสติกชีวภาพ/ผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ 8 หมื่นตันต่อปี ซึ่งส่วนหลังมีความต้องการสูง ผลิตเท่าไรลูกค้าซื้อหมด ส่วน SAF ยังเป็นภาคสมัครใจของสายการบินจะใช้หรือไม่ก็ได้ รอนโยบายภาครัฐในการบังคับใช้ SAF เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมการบิน

นายทศพรกล่าวว่า เรื่องราคาขาย SAF เปิดเผยไม่ได้ แต่ปัจจุบันราคาในตลาดสิงคโปร์สูงกว่าราคาน้ำมัน Jet A-1 มากกว่า 2 เท่า ส่วนวัตถุดิบในการผลิตน้ำมัน SAF จะใช้จากน้ำมันพืชใช้แล้วที่ปัจจุบันจัดหาจากในประเทศได้เพียงพอ โดยได้ขยายโครงการ “Community Waste Hub” ร่วมกับชุมชนเพื่อรวบรวมน้ำมันพืชใช้แล้วจากครัวเรือนและโรงงานอุตสาหกรรม โดยนำร่องแล้วในพื้นที่ระยอง และมีแผนขยายเพิ่มอีก 10 แห่งทั่วประเทศ โครงการนี้ไม่เพียงสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน แต่ยังสร้างรายได้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการรักษาสิ่งแวดล้อมนอกจากนี้หากในอนาคตมีความต้องการใช้ UCO เพิ่มขึ้นก็มีแผนที่จะนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ได้ ซึ่งมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานรองรับแล้ว

PTTGC เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของตลาด SAF  และพลาสติกชีวภาพ/ผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ เตรียมเพิ่มกำลังการผลิต แต่จะต้องพิจารณาว่านำเสนอผลิตภัณฑ์อะไร ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด รวมถึงวัตถุดิบ และที่สำคัญ การพัฒนาจะต้องไม่เกิดความเสี่ยงต่อโรงกลั่น หากมีปัญหาจะทำให้ภาพรวมของพลังงานประเทศเปลี่ยนไปมาก  จึงต้องเดินหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อพัฒนาชีวภาพครบวงจร ไม่เพียงเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีสู่ความยั่งยืน แต่ยังช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินให้ก้าวสู่ยุคพลังงานสะอาด และเป็นส่วนหนึ่งของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับโลกอย่างแท้จริง

ปัจจุบันโครงการ SAF ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISCC CORSIA (International Sustainability and Carbon Certification – Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ซึ่งเป็นมาตรฐานความยั่งยืนระดับสากลที่ยอมรับในอุตสาหกรรมการบิน และสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป และได้รับรองมาตรฐาน ISCC Plus (International Sustainability and Carbon Certification Plus) ที่มุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบชีวภาพและวัสดุหมุนเวียนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน