ADB หั่นเป้าศก.ไทยปี’68 เหลือโต1.8% ปี’69 โต 1.6% ภาษีสหรัฐไม่แน่นอน

HoonSmart.com>>ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 68 เหลือโต 1.8% จากเดิมคาดไว้ 2.8% ส่วนปี 69 โต 1.6% จาก 2.9% เจอความไม่แน่นอนทั้งปัจจัยต่างประเทศ และปัจจัยในประเทศ เผยมีปัจจัยบวก การลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐ  แผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นภาคขนส่ง จะช่วยสนับสนุนประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้   

ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เปิดเผยในรายงานวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย (Asian Development Outlook: ADO) เดือนก.ค.2568 โดยคาดว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียในปีนี้ จะเติบโตที่ 4.7% ลดลง 0.2% จากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ปีก่อน และคาดว่าเศรษฐกิจเอเชีย ปี 2569 จะเติบโตที่ 4.6% ลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 4.7% ก่อน

ADB ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิก อาจจะย่ำแย่ลงไปกว่าเดิมจากภาษีสหรัฐฯ ที่เพิ่มมากและความตึงเครียดทางการค้า ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ  เช่น ความขัดแย้งและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของโลก ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น และการถดถอยของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีนเกินกว่าที่คาดไว้

นายอัลเบิร์ด ปาร์ค หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเอดีบี กล่าวว่า เศรษฐกิจของเอเชียและแปซิฟิก เผชิญความท้าทายจากสภาพแวดล้อมภายนอกมากขึ้น แนวโน้มเศรษฐกิจอ่อนแอลงท่ามกล่าวปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และความไม่แน่นอนของโลก จึงควรดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการสร้างพื้นฐานให้แข็งแกร่ง และสนับสนุนการเปิดเสรีการค้าและการบูรณาการในภูมิภาคเพื่อสนับสนุนการลงทุน การจ้างงาน และการเติบโต

สำหรับเศรษฐกิจจีน ซึ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ทางเอดีบียังคงอัตราเดิมที่ 4.7% ในปีนี้ และ 4.3% ในปี 2569 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการบริโภค และภาคอุตสาหกรรม จะช่วยชดเชยความอ่อนแอของตลาดอสังหาริมทรัพย์และการส่งออกที่ชะลอตัวลง

ส่วนอินเดียที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของภูมิภาค คาดว่าจะเติบโตที่ 6.5% ในปีนี้ และ 6.7% ในปี 2569 ลดลงจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 0.2% และ 0.1% ตามลำดับ เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการค้า และอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นของสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการลงทุน

อัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิกนั้น คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 2.0% ในปีนี้ และ 2.1% ในปี 2569 ลดลงจากการคาดการณ์ครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 2.3% และ 2.2% คาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางราคาน้ำมันที่ปรับลดลงและผลผลิตทางการเกษตรที่แข็งแกร่งขึ้น ช่วยลดแรงกดดันด้านราคาสินค้าอาหาร