EXIM BANK พร้อมหนุนผู้ประกอบการไทย คว้าโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดจีน

HoonSmart.com>>แม้แนวโน้มการส่งออกไทยในช่วงครึ่งหลังของปีจะดูไม่สดใสนัก ด้วยแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลก แต่หากมองให้ลึกลงไปยังตลาดเป้าหมายที่ยังมีศักยภาพสูง หนึ่งในนั้นคือ “จีน” ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ไม่เพียงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยต่อเนื่องมายาวนานกว่า 11 ปี หากแต่ยังมีบทบาทสำคัญในโลกการค้าออนไลน์ในยุคดิจิทัล ด้วยมูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับจีนในปี 2567 สูงถึง 1.16 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ยิ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น และโอกาสใหม่ ๆ ที่รอให้ผู้ประกอบการไทยบุกเข้าไป

ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี

ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า จีนในปัจจุบันไม่ใช่เพียงตลาดยักษ์ใหญ่ที่มีขนาดเศรษฐกิจคิดเป็น 1 ใน 5 ของ GDP โลก แต่ยังเต็มไปด้วยโอกาส โดยเฉพาะในเมืองระดับรอง (New First-tier Cities) ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น เฉิงตู ฉงชิ่ง อู่ฮั่น ซีอาน และหังโจว ล้วนเป็นมหานครใหม่ที่มีประชากรหนาแน่น รายได้ต่อหัวสูง และโครงสร้างพื้นฐานครบครัน ประชาชนในเมืองเหล่านี้เปิดรับสินค้าใหม่ ๆ จากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่มีแบรนด์ คุณภาพดี และมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจ ทำให้สินค้าไทย ซึ่งมีชื่อเสียงด้านคุณภาพและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม กลายเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้

เมื่อการค้าระหว่างประเทศกำลังขยับเข้าสู่รูปแบบดิจิทัลอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะในตลาดจีนที่การค้าข้ามพรมแดนผ่านช่องทางออนไลน์ (Cross-border E-commerce : CBEC) กลายเป็นช่องทางหลักที่ผู้บริโภคใช้อย่างแพร่หลาย โดยในปี 2567 มูลค่าการค้าผ่านช่องทางนี้เพิ่มขึ้นถึง 14% คิดเป็นมูลค่ากว่า 12.26 ล้านล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 17% การเข้าสู่ตลาดจีนผ่าน E-commerce และ Live Commerce จึงอาจเป็นทางเลือกที่ทั้งคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุนหนักในการตั้งร้านหรือสต็อกสินค้าในจีน สำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่มีทรัพยากรไม่มาก

ดร.เบญจรงค์ กล่าวอีกว่า กลุ่มสินค้าไทยที่มีศักยภาพสูงในตลาดจีนในช่วง 1-3 ปีจากนี้ไป ได้แก่ หมวดสุขภาพและความงาม เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ครีมกันแดด เครื่องสำอาง ยาหม่อง ยาดมสมุนไพร รวมไปถึงอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เช่น ผลิตภัณฑ์จากพืช หรือ Plant-based และเครื่องดื่มเสริมวิตามิน นอกจากนี้ สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น อาหาร ขนมขบเคี้ยว ของเล่น ที่นอน ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยง ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคจีนที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง

ขณะเดียวกัน บริการด้านสุขภาพของไทยเริ่มเป็นที่รู้จักและนิยมในหมู่ชาวจีน โดยเฉพาะกลุ่มที่ใส่ใจคุณภาพชีวิตและสุขภาพเชิงป้องกัน ทั้งการตรวจสุขภาพแบบเจาะลึก การพักฟื้นในรีสอร์ตเพื่อสุขภาพ การทำเวชศาสตร์ชะลอวัย รวมถึงศัลยกรรมความงามและทันตกรรม ซึ่งไทยมีความโดดเด่นในด้านคุณภาพระดับสากล ราคาสมเหตุสมผล และการบริการที่เป็นมิตร จุดแข็งเหล่านี้ทำให้บริการสุขภาพของไทยกลายเป็นตัวเลือกแรก ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากจีน

อย่างไรก็ตาม ในการเจาะตลาดจีนให้สำเร็จ ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคจีนรุ่นใหม่ ที่ไม่ได้มองแค่ราคาหรือคุณภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องราวของแบรนด์ การสื่อสารเรื่องราวของแบรนด์ (Brand Storytelling) ที่มีเนื้อหาน่าสนใจ โดนใจ และมีที่มาที่ไปของผลิตภัณฑ์ จะช่วยให้แบรนด์เป็นที่จดจำ โดดเด่น และแตกต่างจากสินค้าทั่วไป ยิ่งหากผสานเข้ากับกลยุทธ์การตลาดแบบ Live Commerce หรือการใช้ Influencer/KOL (Key Opinion Leaders) ที่ชาวจีนติดตามอยู่แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

“เราไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับจีนได้ เราต้องใช้จุดแข็ง เช่น ความเป็นไทยหรือ Soft Power เข้าไปทำตลาดแทน และต้องดูว่าเมืองใดหรือมณฑลใดเหมาะกับสินค้าของเรา เพราะจีนเป็นประเทศใหญ่ มีจำนวนประชากรมาก การเข้าไปทำตลาดทุกที่พร้อมกันเป็นเรื่องยาก บางมณฑลอาจจะมีประชากรมากกว่าไทยทั้งประเทศ การเลือกตลาดที่จะเข้าไปจึงมีความสำคัญ” ดร.เบญจรงค์ กล่าว


ดร.เบญจรงค์ กล่าวเสริมว่า แม้โอกาสจะยังเปิดกว้าง แต่ตลาดจีนก็มีความท้าทายที่ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมรับมือเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการเจรจาทางธุรกิจที่ต้องการความรวดเร็ว ตรงประเด็น และพร้อมปฏิบัติได้ทันที เนื่องจากคู่ค้าจีนมีทางเลือกมาก ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเตรียมตัวมาอย่างดี ทั้งในด้านกฎหมาย มาตรฐานสินค้า และการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ซึ่งบางกระบวนการอาจใช้เวลานาน 6-12 เดือน อีกทั้งระบบโลจิสติกส์ของจีนก้าวหน้ามาก จนผู้บริโภคคาดหวังการจัดส่งที่รวดเร็วและมีคุณภาพ หากผู้ขายไม่สามารถตอบสนองได้ทัน อาจเสียโอกาสไปในทันที และสุดท้ายคือเรื่องเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทำให้ธุรกิจต้องพร้อมปรับตัวตลอดเวลา

ดร.เบญจรงค์ กล่าวว่า EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง พร้อมทำหน้าที่เติมทุนและเติมโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเจาะตลาดจีนได้อย่างมั่นใจ ผ่านการสนับสนุนในมิติต่าง ๆ ได้แก่ การสนับสนุนทางการเงินผ่านสินเชื่อประเภทเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) เพื่อเสริมสภาพคล่อง และเงินกู้ระยะยาว (Term Loan) สำหรับการเข้าไปลงทุนในจีน นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่างประกันการส่งออก ที่ช่วยชดเชยความเสียหายจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้า หรือความเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบของรัฐบาลอย่างกระทันหัน

ไม่เพียงแต่เครื่องมือทางการเงินเท่านั้น EXIM BANK ยังให้ความสำคัญกับการสร้างองค์ความรู้และเครือข่าย ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ส่งออก เช่น หลักสูตร China Wealth ร่วมกับหอการค้าไทยในจีนและศูนย์จีนศึกษา (Chinese Studies Center) ของสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงหลักสูตรออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อเตรียมผู้ประกอบการให้พร้อมรับมือกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และล่าสุดยังมีการนำร่องนำสินค้าของ SMEs ไปเสนอขายจริงในตลาดจีน เพื่อสร้างประสบการณ์และเชื่อมโยงกับผู้ซื้อโดยตรง

ที่สำคัญคือ EXIM BANK มีความร่วมมือกับสถาบันการเงินและภาคเอกชนจีน ทั้งผ่านการลงนาม MOU กับธนาคารชั้นนำ เช่น Bank of China, Bank of China (Thai) และ The Export-Import Bank of China และมีเครือข่ายธนาคารตัวแทนในจีนกว่า 35 แห่ง ช่วยให้การทำธุรกรรมของผู้ประกอบการไทยในจีนคล่องตัวมากขึ้น และล่าสุด EXIM BANK มีความร่วมมือกับ SINOSURE องค์กรรับประกันการค้าของรัฐบาลจีน สร้างความเชื่อมั่นในการขยายธุรกิจระหว่างประเทศของผู้ประกอบการไทยและจีน ลดความเสี่ยงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกัน

นี่คือภาพของตลาดจีนยุคใหม่ที่ไม่เพียงแต่มีขนาดใหญ่และมีศักยภาพสูง หากยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์ กล้าปรับตัว และมีกลยุทธ์เหมาะสมได้เติบโตอย่างยั่งยืน และแน่นอนว่า EXIM BANK พร้อมเติมความรู้ เติมโอกาส และเติมเงินทุน เพื่อสร้างนักรบเศรษฐกิจไทยสู่ตลาดโลกเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง