หุ้นอิเล็กฯ พุ่งแรง หวังลดภาษีเหลือ 20% ‘กอบศักดิ์’ ชี้ โดน 36% ลงทุน S-Curve ไม่เกิด

HoonSmart.com>>วันนี้หุ้นไทยเจ๋งสุดเอเชีย  หวังเจรจาสหรัฐลดภาษีเหลือ 20% เดลต้าฯพุ่งฉิ่วนำกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หุ้นบิ๊กแคปทะยาน ดันดัชนีหุ้นเฉียดทะลุ 1,200 จุด “กอบศักดิ์”ห่วงโดนภาษีสูง 36% ไทยหมดเสน่ห์ลงทุน เทียบอินโดนีเซีย-เวียดนาม อุตสาหกรรม S-Curve ไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น  แนะยอม 0% สินค้าเกษตรนำเข้าดีกว่าส่งออกกระทบหนัก ด้านผู้ว่าธปท.ห่วงสินค้าทะลักเข้าไทย กระเทือน SME ลั่นนโยบายการเงินผ่อนคลายมีมากกว่าการลดดอกเบี้ย

วันที่ 17 ก.ค.2568 หุ้นไทยร้อนแรงกว่าเอเชีย ระหว่างวันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุด 41.51 จุด จ่อแตะ 1,200 จุด  จุดพลุโดยหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์  DELTA กระโดดขึ้นกว่า 15 % แตะ 134.50 บาท นำกลุ่มแรงยกแผง หวังสหรัฐลดภาษีให้ไทย นอกจากนี้ หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ  DELTA กำไรไตรมาสที่ 2/2568 ยังคงเติบโตดี

บล.กสิกรไทย ระบุนายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้เจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เมื่อคืนวันที่ 16 ก.ค.2568 เพื่อเสนอข้อเสนอใหม่ รวมถึงการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลงเป็น 0% หลายหมื่นรายการ โดยไทยตั้งเป้าปิดดีลที่ภาษี 18% เพื่อไม่เสียเปรียบเวียดนามและอินโดนีเซีย ที่ปิดดีลได้ที่ 20% และ 19% ตามลำดับ

ขณะเดียวกันมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ผลักดันตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรง อาทิ AOT ,SCC

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ให้ความเห็นว่า ไทยต้องเจรจาต่อกับสหรัฐฯเพื่อให้ได้ภาษีต่ำลงจาก 36%  มิเช่นนั้นการส่งออกของไทยไปสหรัฐที่มีสัดส่วนประมาณ 20% ของการส่งออกทั้งหมดจะได้รับผลกระทบ หายไปหมดและการส่งออกโดยรวมที่มีสัดส่วน 60% ของเศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยจะส่งผลต่อเนื่องไปยังภาคการผลิต การลงทุน

ทั้งนี้อัตราภาษี 36% จะมีผลบังคับใช้ก็จะมีผลไปตลอด ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเมื่อเทียบกับเวียดนามที่ได้ข้อตกลงภาษีในอัตรา 20% และอินโดนีเซียที่ได้อัตราภาษี 19% มีความน่าสนใจในฐานจุดหมายปลายทางการลงทุนมากกว่า ดังนั้นในระยะยาวการลงทุนรูปแบบใหม่เช่น การลงทุนในอุตสาหกรรม S-Curve ก็ไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น ก็จะส่งผลกระทบต่อประเทศในระยะยาว

” หากไทยได้ภาษีในอัตรา 25%ไม่ต่างจากเวียดนาม อินโดนีเซียมากนัก แลกกับข้อเสนอเปิดให้สหรัฐส่งสินค้าเกษตรเข้ามาภาษี 0% การชดเชยผลกระทบจะทำได้ง่ายกว่าและใช้เงินน้อยกว่าการชดเชยให้ภาคส่งออก เนื่องจากภาคเกษตรมีขนาดไม่ใหญ่นัก โดยคาดว่าต้องใช้เงินชดเชยประมาณ 1 แสนล้านบาท และสามารถจัดการผลกระทบได้ง่ายกว่า ขณะที่การชดเชยการส่งออกคาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท”นายกอบศักดิ์ กล่าว

ทางด้านนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากการประชุมหารือร่วมกันระหว่าง ธปท.  และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา เพื่อหารือการประเมินภาพเศรษฐกิจและผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ประชุมเห็นด้วยที่จะจัดทำข้อมูลผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯเป็นรายภาคธุรกิจ เพื่อเป็นแนวทางเสนอรัฐบาลในการเตรียมมาตรการช่วยเหลือ โดยจะประชุมร่วมกันอีกครั้งในอีก 2 สัปดาห์หน้าเพื่อร่วมกันวางมาตรการการรองรับผลกระทบ ซึ่งนอกจากมาตรการเยียวยาแล้ว ยังมีเรื่องของระยะยาวในการปรับตัว และยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วย

“ควรใช้โอกาสนี้ในการปรับตัว ไม่ใช้เน้นตัวเลขการส่งออก หรือการลงทุน” นายเศรษฐพุฒิกล่าว

สำหรับผลกระทบจากมาตรการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ นั้น มาจากหลายช่องทาง คือ กลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐฯ โดยตรง และกลุ่มที่เป็นห่วงมาโดยตลอด คือ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าต่างประเทศที่ทะลักเข้ามาในไทย จากที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ เช่น กลุ่มเสื้อผ้า, เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการ SME และมีความเปราะบางสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติ

แนวทางในการดูแล แนะขยายสัดส่วนค้ำประกัน เพิ่มโอกาส SME เข้าถึงสินเชื่อ ส่วนการเข้าไม่ถึงสินเชื่อของกลุ่มธุรกิจ SME นั้น ยืนยันว่าไม่ได้เป็นเพราะ ธปท. มีหลักเกณฑ์ที่คุมเข้มเรื่องการปล่อยสินเชื่อ แต่ยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะธุรกิจมีความเสี่ยงสูง ทำให้สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ ดังนั้นจะต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ คือ ความเสี่ยง โดยเป็นเรื่องของกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งไม่ได้เป็นเกณฑ์ของธปท. ทั้งกลไกผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) หรือกลไกด้านอื่น ๆ ที่จะช่วยลดความเสี่ยง

นอกจากนี้จะต้องทบทวน สัดส่วนการค้ำประกันว่าจะต้องเพิ่มขึ้นหรือไม่ จากเดิมกำหนดไว้ที่ 40% ในภาวะที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่ต้นตอไม่เฉพาะแค่ฝั่งการเงิน แต่จะเป็นเรื่องของขีดความสามารถในการแข่งขันด้วย เพราะถ้าธุรกิจแข่งขันไม่ได้ จะให้สินเชื่อแก้ปัญหาคงไม่ได้ แต่หากธุรกิจมีการปรับตัว มีศักยภาพ เชื่อว่าแบงก์ก็ต้องการทำกำไร ก็น่าจะปล่อยสินเชื่อ

ส่วนกรณีที่มีข้อเรียกร้องให้ ธปท. ปรับลดดอกเบี้ย และดูแลเรื่องค่าเงิน เป็นเรื่องปกติที่ ธปท. จะต้องเตรียมมาตรการเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ เรื่องอัตราดอกเบี้ยได้เคยมีการชี้แจงอย่างต่อเนื่อง และในระยะต่อไป จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือน ส.ค. ก็จะมีการพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ ประกอบด้วย อยากย้ำว่า การตัดสินใจใช้นโยบายการเงิน นั้น ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีมาตรการการเงินอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาด้วย

ล่าสุดในการประชุมของธนาคารกลางอินโดนีเซียมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 5.25% นับเป็นครั้งที่ 3 ในรอบปี 2568 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ท่ามกลางความเปราะบางของอุปสงค์ในประเทศและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ขณะเดียวกันยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพค่าเงินรูเปียห์ โดยปัจจัยสนับสนุนการลดดอกเบี้ย มีดังนี้

แรงกดดันเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ แม้อัตราเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. ขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1.87% จาก 1.6% ในเดือนก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของ BI ที่ 1.5-3.5% สะท้อนว่า แรงกดดันด้านราคายังอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงิน

โดยเงินเฟ้อที่ขยับขึ้น มีสาเหตุหลักมาจากอุปทานสินค้าเกษตรที่ลดลงส่งผลต่อราคาพืชผัก รวมถึงราคาค่าโดยสารเครื่องบินและเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงในช่วงปิดเทอม

อินโดนีเซียได้ดีลการค้ากับสหรัฐฯ หนุนบรรยากาศเศรษฐกิจ โดยการบรรลุข้อตกลงลดภาษี (Reciprocal Tariffs) ที่เก็บจากสินค้าอินโดนีเซียจาก 32% เหลือ 19% ช่วยลดความเสี่ยง

ด้านการค้านักลงทุนคลายความกังวลส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น โดยดัชนี Jakatar Composite Index (JCI) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 7,192 จุด เพิ่มขึ้น +51.55% ณ วันที่ 16 ก.ค.2025

• ค่าเงินรูเปียห์ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องหลังอ่อนค่ามากสุดในเดือน เม.ย. 2025  ล่าสุด ! ค่าเงินรูเปียห์ แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 16,281 รูเปียห์/ดอลลาร์ฯ (16 ก.ค.2025) สะท้อนความเชื่อมั่น

นักลงทุนหนุนความมั่นใจด้านเสถียรภาพ ช่วยเปิดทางให้ BI ในนโยบายผ่อนคลายเพิ่มเติม