HoonSmart.com>>ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เล็งเศรษฐกิจครึ่งปีหลังแผ่วลงและต่อเนื่องไปถึงปี 69 คงประมาณการ GDP ปี 68 ที่ 2.3% แต่ปี 69 จะขยายตัวแค่ 1.7% จากคาดส่งออกติดลบ กระทบการลงทุนภาคเอกชน-การบริโภค หวั่นภาษีสหรัฐฯกระทบเศรษฐกิจไทยเกิด”ช็อกที่ทอดยาว” พร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อหนุนเศรษฐกิจ
น.ส.บัณณรี ปัณณราช ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปี 2568 อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทย (GDP) คงประมาณการไว้ที่ 2.3% ซึ่งครึ่งปีแรกยังขยายตัว แต่จะชะลอตัวในครึ่งหลังปี 2568 และต่อเนื่องไปยังปี 2569 ซึ่งคาดว่าปี 2569 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้เพียง 1.7% ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอดีตอยู่ที่ 3% ชะลอตัวลงพอสมควร จากการส่งออกที่คาดว่าจะติดลบ ซึ่งจะส่งผลกระทบไปถึงการลงทุนภาคเอกชนที่มีการขยายตัวต่ำมาก ที่คาด่วาจะขยายตัวไม่ถึง 1% การบริโภคก็ชะลอตัวลงเช่นกัน จากการส่งออกที่ชะลอตัว และเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ทั้นี้ ยังต้องติดตามหลายประเด็นทั้งผลการเจรจาการค้า ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนในประเทศ และความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่ออาจจะกระทบกลุ่มเปราะบาง และกระทบผู้ประกอบการ
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในปี 2568-2569 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปประมาณการไว้ที่ 0.5% และ 0.8% ตามลำดับ หากมาดูที่เงินเฟ้อหมวดพลังงานปี 2568-2569 จะติดลบ 3.2% และ -1.3% ซึ่งติดลบสองปีจะไม่ค่อยได้เห็น ตามลำดับ ค่าเฉลี่ยเงินเฟ้อหมวดพลังงานอยู่ที่ประมาณ 1.5% เป็นสาเหตุที่ทำให้เห็นเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกัน เงินเฟ้อหมวดอาหารสดในปี 2568-2569 ประมาณการที่ 1.2% และ 1.6% เมื่อมองที่ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (ปี 2553-2562 ก่อนโควิด) อยู่ที่ 1.5% แต่ปีนี้ค่อนข้างอยู่ในระดับต่ำ พร้อมมองว่าไทยยังไม่ได้อยู่ในภาวะเงินฝืดแต่อย่างใด
ด้านภาวะการเงินยังตึงตัว คุณภาพสินเชื่อยังด้อยลง และความเคลื่อนไหวเงินบาทยังผันผวนและแข็งค่าเมื่อเทียบไตรมาสก่อน ซึ่งก็สอดคล้องกับภูมิภาค ทั้งนี้สินเชื่อที่หดตัวมาจากการชำระหนี้ที่มากขึ้น สอคล้องกับความต้องการสินเชื่อที่ลดลง ขณะเดียวกันสถาบันการเงินยังระมัดระวังเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ
“เงินบาทในช่วง YTD แข็งค่าขึ้นประมาณ 5.5% อยู่ระดับที่สอดคล้องกับภูมิภาค”
นายสุรัช กล่าวต่อว่า นโยบายการเงินควรอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ และพิจารณาในระยะข้างหน้าในเรื่องจังหวะเวลา และประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้ความไม่แน่นอนสูง ที่ผ่านมาได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้ง อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับผ่อนคลาย อย่างไรก็ดี ขีดความสามารถการดำเนินนโยบายการเงินก็เป็นเรื่องสำคัญ ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง ในระยะข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัจจัยภายในและนอกประเทศ ในเรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจจจะนำมาซึ่งการคาดไม่ถึงขนาดใหญ่ (Un-expect Shock) อีกอย่างที่จะพิจารณาเป็นเรื่องประสิทธิผล ในช่วงที่ความไม่แน่นอนสุง ในเรื่องการลงทุนภาคเอกชนอาจจะ Wait & See
“ถ้ามีความรุนแรงระยะสั้นเกิดการช็อกที่หยุดชะงักจะเป็นหลุมไป ณ ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนภาษีนำเข้าสหรัฐฯจะเป็นรูปแบบไหน แต่ที่แน่เก็บ 10% ชัดเจน ซึ่งการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐ ทำให้ต้นทุนสหรัฐฯแพงขึ้น และผลกระทบค่อนข้างกว้าง เพราะสหรัฐมีบทบาทที่สำคัญมากของโลก… เห็นด้วยกับ IMF ที่มีผลระยะยาว ที่โครงสร้างการค้าต้องเปลี่ยน Supply Chain ต้องเปลี่ยน ตอนนี้ทุกประเทศเห็นด้วยว่านี่เป็นลักษณะ”ช็อก”ที่มีผลกระทบขนาดใหญ่ทอดไปในระยะยาว และค่อนข้างรุนแรงในแง่เชิงโครงสร้าง กนง.ให้ความสำคัญกับนโยบายการเงินไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ”
