HoonSmart.com>>ไม่มีเซอร์ไพรส์! ไทยโดนภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 36% ห่วงแบงก์ชาติกดเป้า GDP ลงกึ่งหนึ่งจากคาดโต 2.3% นักวิเคราะห์หวั่นโตต่ำกว่า 1% เป้า SET ปีนี้อาจต่ำกว่า 1,000 จุด หั่นกำไรต่อหุ้น (EPS) หดเหลือ 73-80 บาท กลุ่มส่งออกสินค้าไปสหรัฐรับผลกระทบเต็ม ๆ ทุบนิคมฯ ด้วย แนะโยกเข้ากลุ่ม Defensive ช่วงรอผลเจรจารอบใหม่

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอย่างน้อย 14 ประเทศ ถูกเก็บภาษีนำเข้า ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568 โดยประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษี 36% สูงกว่าเวียดนามที่ 20% และสูงกว่าของอินโดนีเซีย และมาเลเซียที่อัตรา 32% และ 25% ตามลำดับ ส่วนลาว, เมียนมา และกัมพูชา ปรับลดลงเหลือ 40%, 40% และ 36% ตามลำดับ จากเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ประกาศอัตราภาษี 48%, 44% และ 49% นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังขู่เก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 10% สำหรับประเทศที่เข้าร่วมกลุ่ม BRICS ซึ่งไทยก็มีความเสี่ยงในกรณีนี้ด้วย
หวั่น GDP ไทยหล่นตุบ 1.3% กระทบ EPS 1-2 บาท
บล.กรุงศรี ระบุกรณีเลวร้าย (Worst case) ไทยโดนภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯมากกว่า 25% ตลาดอาจลงไปทดสอบจุดต่ำสุดเดิม 1,053 จุด, แต่โอกาสนี้ “ต่ำลง” เพราะไทยมีท่าทีเจรจาเชิงรุกมากขึ้น ส่วน Downside GDP–Earnings จำกัด แต่ต้องจับตาการถูกเก็บภาษี 36% ส่งผลกระทบต่อ GDP ไทยปี 2568 จาก +2.1% เหลือ +1.3% และกระทบ EPS ตลาดราว 1–2 บาท (จากเดิม 87 บาท) อย่างไรก็ดี ตลาดไทยมี Valuation Discount และ P/E ที่ต่ำสุดในภูมิภาค
UOBKH ให้เป้า SET ปีนี้ 880 จุด กรณีเลวร้ายโดนภาษี 36%
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตอนนี้ไทยโดนภาษีจากสหรัฐฯไป 36% ถือว่าเป็นกรณีเลวร้าย แต่ก็ยังมีเวลาเกือบ 1 เดือนในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯให้ลดภาษี ซึ่งก็ให้ความสำคัญกับไทยเอาอะไรไปแลกส่วนลดภาษีจากสหรัฐฯ หากเจรจาแล้วไทยต้องแลกกับการให้ภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ 0% ก็มองเป็น Downside และถ้าเจรจาแล้วไทยยังคงได้ภาษีในอัตราที่สูงกว่าเวียดนาม และยังต้องให้ภาษี 0% กับสหรัฐฯ ก็จะมองเป็น ในช่วงรอผลเจรจาดัชนีฯอาจแกว่งในกรอบ 1,050-1,110 จุด
“มีโอกาสสูงที่ไทยจะเจรจาไม่ได้ เพราะเจรจาไปแล้วครั้งหนึ่งไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ เจรจาครั้งที่สองโอกาสก็น้อยลง และเรายังต้องเอาภาษี 0% ไปแลกอีก ซึ่งเราให้ความสำคัญกับการเอาอะไรแลก แล้วผลเจรจาออกมาภาษีไทยยังสูงกว่าเวียดนาม ก็มองเป็น Negative ตลาดเกิด Downside กรณีเลวร้ายมองเป้า SET 880 จุด EPS 80 บาท GDP ไทยปีนี้มอง 1-1.4% สิ่งทีน่ากลัวคือ ปีนี้แบงก์ชาติให้ GDP โต 2.3% แล้วต้องหั่นลงครึ่งหนึ่ง”
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยมีโอกาสถดถอยจากเทคนิคเคิล โดยยิ่ง GDP ไตรมาส 2 ประกาศออกมาสูงแค่ไหน ไตรมาส 3-4 ก็จะยิ่งตกต่ำ แต่ถ้าผลเจรจาออกดี ได้อัตราภาษีที่ดีกว่าเวียดนาม เป้า SET ก็จะอยู่ที่ 1,050 จุด พร้อมแนะนำให้”หลีกเลี่ยง”หุ้นกลุ่ม Global play นิคมฯ, ชิ้นส่วนยานยนต์, กลุ่มส่งออกจำพวกอาหาร, เกษตร และ”เข้าหา”หุ้น IVL (ราคาเป้าหมาย 45 บาท), SCGP (ราคาเป้าหมาย 21 บาท) ทั้งสองตัวนี้กำไรดีจากแผนลดต้นทุน และ PTT (ราคาเป้าหมาย 37 บาท) เป็นหุ้นปันผลสูง
“ฟิลลิป”แนะเล่นหุ้น Defensive ช่วงรอผลเจรจาภาษี
น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบันยังให้เป้าดัชนี SET ไว้ที่ 1,230 จุด EPS 85 บาท คิดเป็น P/E 14.5 เท่า ซึ่งกรณีเลวร้ายหากไทยต้องเจอภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 36% จริง เป้าดัชนี SET ก็อาจจะต้องถูกปรับลงมาอยู่ที่ 1,070 จุด EPS 80.3 บาท คิดเป็น P/E 13.3 เท่า ส่วน GDP มีโอกาสที่จะเติบโตต่ำกว่า 1% อย่างไรก็ดี คาดหวังไทยจะลดอัตราภาษีจากสหรัฐฯได้
หากเทียบอัตราภาษีของไทยที่โดน 36% กับประเทศอื่น ๆ อย่างเวียดนาม สินค้าหลายตัวที่ทับซ้อนกับสินค้าของไทย เรียกได้ว่าส่งออกสินค้าเหมือนกันเป๊ะ 8-9 อย่าง ซึ่งเวียดนามได้ภาษีจากสหรัฐฯ 20% ทำให้ไทยจะเสียเปรียบด้านการค้าได้
หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากภาษี 36% เป็นหุ้นในกลุ่มส่งออก โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง DELTA, HANA, KCE ต่างก็ส่งออกไปสหรัฐฯมากกว่า 20% กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มยางก็ส่งออกไปสหรัฐฯมาก ส่วนน้ำมันจะต้องรอดูว่าจะนำเข้ามาได้มาก/น้อยแค่ไหน ส่วนกลุ่มธนาคาร และไฟแนนซ์ พวกธุรกิจส่งออกอาจกระเทือนบ้าง ด้านกลุ่มขนส่ง โลจิสติกส์ มองแง่บวกถ้าได้มีการนำเข้าสินค้ามากขึ้น
สำหรับหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจะเป็นกลุ่ม Defensive อิงเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งนักลงทุนหันมาเล่นกลุ่มนี้ได้ก่อน มีทั้งหุ้นในกลุ่มสื่อสาร แนะนำ ADVANC, หุ้นให้ปันผลสูง แนะนำกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คือ AP, SPALI ส่วนกลุ่มธนาคารก็ยังเก็บได้ เพราะสภาพคล่องสูง มีการตั้งสำรองฯมาก แต่ให้เลือกเล่นรายตัวไป แนะนำ BBL
14 หุ้นส่งออกเสี่ยงเจอผลกระทบภาษี 36%
บล.ธนชาต ระบุว่า ทรัมป์ส่งจดหมายเก็บภาษีไทยที่ 36% ตามเดิม เริ่ม 1 ส.ค.นี้ สะท้อนให้เห็นว่าการเจรจาและข้อเสนอที่ได้ยื่นไปก่อนหน้านี้ยังไม่เป็นที่น่าพอใจของสหรัฐฯ แต่อัตราภาษีนี้ยังไม่ใช่ตัวเลขสุดท้าย ไทยยังมีเวลาเจรจาเพิ่มอีกประมาณ 3 สัปดาห์ก่อนถึง deadline อย่างไรก็ดี ได้รวบรวมหุ้นที่ได้รับผลกระทบสูง (อิงตามสัดส่วนการส่งออก) ดังนี้
1. TU: สัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯ 40% มีความเสี่ยงที่ความต้องการสินค้าอาหารกระป๋องจะลดลง ซึ่งบริษัทกำลังเปลี่ยนกลยุทธ์โดยการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ซึ่งอาจจะเป็นยุโรป
2. HANA: สัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 40% ส่วนใหญ่เป็นสินค้า Low-end
3. ITC: สัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 40% แต่มีข้อได้เปรียบตรงที่เป็นสินค้าอาหารสัตว์แบบพรีเมียมซึ่งประเทศอื่นผลิตได้ยาก ซึ่งเวียดนามส่วนใหญ่ผลิตแบบ low end
4. TKN : สัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 10 – 20%
5. SAPPE: สัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 10 – 20%
6. DELTA : สัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 50% แต่ความต้องการในส่วนของ AI data center ยังแข็งแกร่ง และลูกค้ามีสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น
7. OSP และ CBG: ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากกำลังซื้อที่ลดลงในตลาดส่งออกหลักอย่าง กัมพูชาและพม่า ซึ่งโดนเก็บภาษี 36% และ 40% ตามลำดับ
8. AMATA และ WHA : ได้รับผลกระทบมากสุดจากความเสี่ยงการชะลอตัวของการตัดสินใจย้ายฐานการผลิต ซึ่งหากเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่าง เวียดนาม ที่มีข้อได้เทียบทั้งอัตราภาษีที่ต่ำกว่าไทย (เวียดนาม 20% vs ไทย 36%) และค่าแรงที่ถูกกว่าอาจกดดันต่อปริมาณ ราคาขายและอัตรากำไรจากการขายที่ดินนิคมในไทย
9. WICE : สัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ ราว 15%
10. SJWD : สัดส่วนรายได้จากการลงทุนและ EBIT ราว 10% ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการขนส่งผ่านห้องเย็น และมีสัดส่วนส่งออกสินค้าทูน่าไปยังสหรัฐฯสูง ขณะที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวเช่นกัน
11. KEX และ ETL : ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวและความต้องการขนส่งที่ลดลง
ไทยเสี่ยงโดนภาษีอีก 10% กรณีเข้าร่วมกลุ่ม BRICS
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้จับตาการเจรจาของไทยในอีก 3 สัปดาห์ที่เหลือ หากไม่สำเร็จจะเป็นลบต่อผู้ส่งออกอย่างมาก โดยต้องเร่งเจรจากับคู่ค้าในสหรัฐและเชื่อว่าผู้ส่งออกไทยจะถูกต่อรองให้ช่วยรับผิดชอบภาระภาษีบางส่วนด้วย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ไทยอาจโดนเพิ่มภาษีอีก 10% กรณีเข้าร่วมกลุ่ม BRICS แต่ประเด็นนี้ยังไม่ชัดเจน ต้องติดตามต่อไป
ทั้งนี้ กลุ่มอาหารที่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ นำโดย AAI (67%), ITC (50%), ASIAN (50%), TU (20%) สิ่งที่ไม่ดีคือคู่แข่งอาหารสัตว์เลี้ยง อย่างเวียดนามมีอัตราภาษี 20% ต่ำกว่าไทย
กลุ่มเครื่องดื่ม PLUS (44%), COCOCO (24%), MALEE, SAPPE (7%)
กลุ่มเกษตร โดยกลุ่ม STA มีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ 13% มาจากธุรกิจยาง 7% และถุงมือยาง STGT 18%
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ DELTA (30%), HANA (26%) และ KCE (21%) นอกจากถูกเก็บในอัตราสูง 36% แล้ว คู่แข่งสินค้า Semiconductor อย่างมาเลเซียถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% ต่ำกว่าไทย เป็นลบต่อการแข่งขันของไทย
กลุ่มเนื้อสัตว์ CPF BTG TFG และ GFPT ไม่มีการส่งออกไปสหรัฐ จะมีเพียง CPF ที่ส่งไปน้อยมากเพียง 0.3% แต่ยังมีความเสี่ยง หากไทยต่อรองลดภาษีสหรัฐด้วยการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐเป็นการแลกเปลี่ยน จะเป็นลบต่อกลุ่มเนื้อสัตว์
