ธนาคารกรุงศรี มองค่าเงินบาทสัปดาห์นี้กรอบ 32.70-33.05 ต่อดอลลาร์ คาดได้แรงหนุนหลังจีรและสหรัฐฯ เลื่อนปรับขึ้นภาษีนำเข้า รอเจรจาใหม่
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.70-33.05 ต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 32.89 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยคาดว่าสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่จะได้ปัจจัยหนุนหลังจากจีนและสหรัฐฯ ตกลงเลื่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้า ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 3.9 พันล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตร 4.8 พันล้านบาท ส่วนในช่วง 11 เดือนแรกของปี เงินบาทอ่อนค่าราว 0.9% ซึ่งเป็นการอ่อนค่าที่น้อยกว่าสกุลเงินส่วนใหญ่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่าสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่จะได้รับแรงหนุนจากข้อตกลงระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่จะระงับการปรับขึ้นภาษีนำเข้า ขณะที่ทั้งสองฝ่ายพยายามจะลดความขัดแย้งด้วยการเจรจาครั้งใหม่และตั้งเป้าที่จะบรรลุข้อตกลงกันให้ได้ภายใน 90 วัน ทั้งนี้ ทำเนียบขาวประกาศว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แจ้งต่อประธานาธิบดีสีว่าจะไม่ปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าที่เรียกเก็บจากสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% ในวันที่ 1 มกราคม 2562
ส่วนทางด้านรัฐบาลจีนตกลงที่จะซื้อสินค้าเกษตร พลังงาน อุตสาหกรรม และสินค้าอื่นๆ จากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก ท่าทีดังกล่าวช่วยลดความตึงเครียดด้านการค้าโลกซึ่งเป็นประเด็นกดดันการลงทุนมาตลอดปีนี้ ส่วนปัจจัยชี้นำถัดไปจะอยู่ที่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ รวมทั้งตัวเลขตลาดแรงงานซึ่งจะส่งผลต่อการคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ นอกจากนี้ แถลงการณ์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ว่าดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้อยู่ต่ำกว่าดอกเบี้ยที่เป็นกลางเพียงเล็กน้อย ส่งผลให้นักลงทุนตีความว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยช้าลงและวัฏจักรการคุมเข้มนโยบายอาจใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ นักลงทุนจะติดตามการเปิดเผยข้อมูลอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนซึ่งคาดว่าจะอ่อนตัวลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก อย่างไรก็ดี ธปท.ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2561 ว่าจะสามารถเติบโตไม่ต่ำกว่า 4% จากแรงหนุนของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แต่ประเมินว่ามีโอกาสน้อยลงที่การส่งออกจะขยายตัวได้ถึง 8% ในปีนี้ ส่วนในปี 2562 ธปท.คาดว่าผลบวกจากโครงการการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และความชัดเจนหลังการเลือกตั้ง รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับมาเป็นปกติจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ