HoonSmart.com>>วันนี้ ครม.ไฟเขียวงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 115,375 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในโครงการสร้างพื้นฐานประมาณ 85,000 ล้านบาท ส่วนด้านท่องเที่ยวเทงบรวม 10,053 ล้านบาท คาดช่วยเพิ่ม GDP ปีนี้ 0.4% ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณประเมินโครงการไม่ใหญ่ คาดเบิกจ่ายเงินได้เร็วจบภายใน 1 ปี
คณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (24 มิ.ย.2568) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้วงเงินงบประมาณกว่า 1.15 แสนล้านบาท จากงบกลางวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท แบ่งเป็น
1.ด้านโครงการสร้างพื้นฐานวงเงินประมาณ 85,000 ล้านบาท แยกเป็นโครงการน้ำ คาดว่าจะทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 192.22 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 4,791,974 ไร่ ครัวเรือนได้รับประโยชน์ 906,803 ครัวเรือน และสามารถสร้างการจ้างงานได้ 73,807 คนต่อเดือน โครงการคมนาคม คาดว่า จะสามารถพัฒนาถนนได้ 417 กิโลเมตร ซ่อมบำรุง ปรับปรุง และยกระดับเส้นทางได้ 1,689 แห่ง อำนวยความปลอดภัยได้ 3,604 แห่ง และสามารถสร้างการจ้างงานได้ 2.85 แสนคน
2.ด้านการท่องเที่ยว วงเงินรวม 10,053 ล้านบาท ได้แก่ การปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องน้ำ ห้องพัก สถานที่ ป้ายบอกทาง, การพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว, การพัฒนาและยกระดับความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว อาทิ การติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ และการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองรอง คาดว่า จะสนับสนุนให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 2,766,000 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 55,059 ล้านบาท และมีประชาชนได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงเส้นทางเพื่อการท่องเที่ยวประมาณ 7.6 ล้านคน
3.ด้านลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล วงเงินรวม 11,122 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่
1) ด้านการเกษตร วงเงิน 160 ล้านบาท ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 6,000 บาทต่อไร่ต่อปี ช่วยให้สถาบันเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 320,000 บาทต่อปี
2) ด้านแรงงาน วงเงิน 10,000 ล้าน บาท ช่วยบรรเทาผลกระทบให้แรงงาน และผู้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาก่อนเป็นลำดับแรก ผ่านการสนับสนุนสินเชื่อให้สถานประกอบการกว่า 1,700 แห่ง ซึ่งสนับสนุน การจ้างงานประมาณ 1 แสนคน
3) ด้านดิจิทัล วงเงิน 962 ล้านบาท มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ ภาคเกษตรกรรม และการให้บริการประชาชน กว่า 20,000 ราย
4.ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่น ๆ จำนวน 9,201 ล้านบาท แบ่งเป็น (1) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) วงเงิน 4,000 ล้านบาท (2) ทุนมนุษย์ด้านการศึกษา วงเงิน 3,641 ล้านบาท และ (3) พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน วงเงิน 1,560 ล้านบาท
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวว่า แผนการขับเคลื่อนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยการเร่งรัดการใช้จ่ายผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงาน กระจายรายได้ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยเม็ดเงิน 115,375 ล้านบาท จะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ผ่านการลงทุนในทุนมนุษย์และการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และวางรากฐานการพัฒนาประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้ ในระยะต่อไป คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และจะพิจารณากำหนดนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่อไป
ทางด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กล่าวว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านครม.ในวันนี้ จะช่วยเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ได้อีก 0.4% จากประมาณเศรษฐกิจที่สภาพัฒน์คาดการณ์ไว้ล่าสุด (สภาพัฒน์ คาด GDP ปีนี้เติบโตได้ 1.3-2.3% ค่ากลาง 1.8%) ถ้าเร่งเบิกจ่ายเงินได้เร็วในไตรมาส 4 ปีนี้ หรือไตรมาส 1 ปีหน้า ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มจะขยายตัวได้ดีขึ้น
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ย้ำว่า ทุกโครงการที่ได้ผ่านการพิจารณาทั้งหมดรวม 1.15 แสนล้านบาทนั้น เป็นโครงการที่มีความพร้อม เพราะมีแผนการดำเนินงานชัดเจน และสามารถดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ทันที ทั้งนี้ ทุกโครงการจะต้องมีการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้เริ่มมีผลผูกพันภายในวันที่ 30 ก.ย.2568
ส่วนวงเงินในโครงการที่ยังเหลืออีกประมาณ 4 หมื่นล้านบาท จากวงเงินรวมทั้งหมด 1.57 แสนล้านบาทนั้น ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทุกโครงการที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ ได้พิจารณานั้น เป็นการพิจารณาอย่างรอบคอบ ดังนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องใช้เงินให้เต็มวงเงินงบประมาณทั้งหมดที่มีอยู่ 1.57 แสนล้านบาท
ด้านนายอนันต์ แก้วกำเนิด ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า กระบวนการใช้งบประมาณของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ เป็นการใช้งบกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีข้อจำกัดว่าจะต้องก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ก.ย.2568 เพื่อจะกันเงินได้อีก 1 ปี เพราะถ้าถึง 30 ก.ย.2569 แล้วยังเบิกจ่ายไม่ทัน โครงการจะตกไป ดังนั้นในระหว่างนี้ ทุกภาคส่วนต้องเตรียมการเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบถ้วนโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม รอบนี้โครงการที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก สามารถเบิกจ่ายได้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี จึงไม่น่าเป็นห่วงว่าจะเบิกจ่ายไม่ทัน