HoonSmart.com>> บล.ดาโอ ประเมินสงครามอิสราเอล-อิหร่าน ตึงเครียดมากขึ้น สหรัฐฯโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน 3 แห่ง “อิหร่าน” ปิดช่องแคบ Hormuz มองเป็น บวก “กลุ่มพลังงานต้นน้ำ-โรงกลั่น” เป็นลบต่อ “กลุ่มโรงไฟฟ้า, ปิโตรเคมี, ค้าปลีกน้ำมัน,ท่องเที่ยวและสายการบิน,ส่งออก, ค้าปลีก ต้นทุนสูงขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ วิเคราะห์หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากสงครามอิสราเอล-อิหร่านที่ตึงเครียดมากขึ้น หลังสหรัฐฯ โจมตีฐานนิวเคลียร์ของอิหร่าน 3 แห่ง ขณะที่รัฐสภาอิหร่านมีมติเอกฉันท์ให้ปิดช่องแคบ Hormuz คาดว่าแนวโน้มราคาพลังงานระยะสั้นจะปรับเพิ่มสูงขึ้นจากความเสี่ยงที่สงครามจะยืดเยื้อและมีโอกาสที่จะขยายวงกว้าง เชื่อว่ามีโอกาสที่สงครามจะยืดเยื้อ โดยเราเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่อิหร่านอาจจะโจมตีอิสราเอลต่อไปและอาจรวมถึงฐานทัพของสหรัฐฯในประเทศตะวันออกกลางอื่นๆ ซึ่งมีอย่างน้อย 19 แห่งและมีทหารประจำการ 4.00-5.00 หมื่นนาย
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยเห็นถึงความเสี่ยงขาขึ้นที่เป็นไปได้ที่อิหร่านจะพยายามปิดทางเดินเรือผ่าน Strait of Hormuz ซึ่งเชื่อว่าอาจจะส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลได้ในระยะสั้นถึงกลาง ทั้งนี้ ในเบื้องต้นยังประมาณการสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยของฝ่ายวิจัยไว้ที่ 70.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ฝ่ายวิจัยมองเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานต้นน้ำละโรงกลั่น ราคาพลังงานต้นน้ำ ที่น่าจะสูงขึ้นจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน (โดยเฉพาะพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น) ขณะที่ เป็นลบต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า, ปิโตรเคมี และ ค้าปลีกน้ำมัน, ท่องเที่ยวและสายการบิน, กลุ่มส่งออก, และกลุ่มค้าปลีก ซึ่งอาจจะเห็นต้นทุนที่สูงขึ้น
(+) กลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น: ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า PTTEP จะได้ประโยชน์จากราคาขายน้ำมันเฉลี่ย (liquid ASP) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่โรงกลั่นน่าจะได้แรงหนุนจากกำไรจากสต๊อก (stock gain) ที่สูงขึ้นและอาจรวมถึงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ดีขึ้น ทั้งนี้คำแนะนำ สำหรับหุ้นที่ฝ่ายวิจัยดูแล คือ PTTEP (ซื้อ/เป้า 130.00 บาท), TOP (ซื้อ/เป้า 36.00 บาท), SPRC (ซื้อ/เป้า 6.50 บาท), และ BCP (ถือ/เป้า 34.00 บาท)
(-) กลุ่มโรงไฟฟ้า: มีโอกาสที่ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น แต่ค่า Ft ไม่สามารถปรับสะท้อนได้จากความพยายามควบคุมค่าไฟฟ้าจากภาครัฐ เป็น negative sentiment ต่อโรงไฟฟ้า SPP โดยเรียงลำดับจากหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากมากไปน้อยคือ GPSC (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท), BGRIM (ซื้อ/เป้า 20.00 บาท), GULF (ซื้อ/เป้า 63.00 บาท)
(-) กลุ่มปิโตรเคมี: ฝ่ายวิจัยมองว่าหุ้นในกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนวัตถุดิบ (feedstock) ที่สูงขึ้น ในขณะที่ ราคาขายยังมีปัจจัยกดดันจากแนวโน้มอุปสงค์ที่อ่อนแออยู่ ทั้งนี้คำแนะนำสำหรับหุ้นที่ฝ่ายวิจัยดูแล คือ SCC (ขาย/เป้า 140.00 บาท), PTTGC (ถือ/เป้า 21.00 บาท), และ IVL (ถือ/ เป้า 22.00 บาท)
(-) กลุ่มค้าปลีกน้ำมัน : ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมีโอกาสกดดันค่าการตลาด อย่างไรก็ดี ผลกระทบเชิงลบอาจจะถูกลดทอนด้วยความจริงที่ว่าสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีความแข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว ทั้งนี้ หุ้นที่ได้รับ negative sentiment คือ OR (ขาย/เป้า 12.50 บาท) และ PTG (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท)
(-) กลุ่มท่องเที่ยว : ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจาก Middle East มีโอกาสลดลงได้ โดย 5M25 มีสัดส่วนที่ 1.4% ของนักท่องเที่ยวรวมหุ้นที่ได้รับ negative sentiment คือ (ERW (ถือ/เป้า 2.50 บาท), CENTEL (ซื้อ/เป้า 29.00 บาท)
(-) กลุ่มสายการบิน : ฝ่ายวิจัยมองว่าหุ้นกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจคิดเป็นประมาณ 30%-40% จากรายได้รวม หุ้นที่ได้รับ negative sentiment คือ AAV (ถือ/เป้า 1.50), BA (เป้า Bloomberg consensus 21.83 บาท)
(-) กลุ่มส่งออก : ได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปตะวันออกกลาง รวมถึงค่าขนส่งโดยรวมที่อาจสูงขึ้น โดย AAI (ซื้อ/เป้า 6.00 บาท) มีโอกาสได้รับผลกระทบมากสุดเนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ไปตะวันออกกลางราว 8% ขณะที่หุ้นอื่นๆ ที่อาจได้รับ negative sentiment ได้แก่ TU (ถือ/เป้า 10.50 บาท), ITC (ถือ/เป้า 14.00 บาท), และ GFPT (ซื้อ/เป้า 12.00 บาท) และกลุ่มส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าวไป Middle east นอกจากมีโอกาสได้รับผลกระทบจากต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้นและทำให้คำสั่งซื้อตัวชะลอตัว PLUS (ถือ/เป้า 3.50 บาท) มีสัดส่วนรายได้จาก Middle East 11% และ COCOCO (ซื้อ/เป้า 11.50 บาท) ที่ 2%
(-) กลุ่มค้าปลีก : ได้รับผลกระทบจำกัดตามผลกระทบของนักท่องเที่ยวจาก Middle east ลดลง โดยมองว่าหุ้นที่ได้รับ negative sentiment มากที่สุดคือ CRC (ถือ/เป้า 27.00 บาท)
หุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวที่อาจจะได้รับผลกระทบจากข่าวนี้
(-) EPG (ซื้อ/เป้า 3.40 บาท): ต้นทุนวัตถุดิบหลัก (PP, PET, HDPE) อาจได้รับผลกระทบจากราคาปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าแล้ว 3-6 เดือน
(-) SFLEX (ซื้อ/เป้า 3.80 บาท): ต้นทุนวัตถุดิบหลักฟิลม์ (PET, MPET, LLDPE, OPA) อาจได้รับผลกระทบจากราคาปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าแล้ว 3-6 เดือน
(-) SAPPE (ถือ/เป้า 33.50 บาท) มีสัดส่วนรายได้จาก Middle East ที่ 13% ของรายได้รวม คาดต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้น ส่งผลให้คำสั่งซื้อชะลอตัว
