HoonSmart.com>>หุ้นปูนซิเมนต์ไทย (SCC) วิ่ง โดดเด่นผู้นำหุ้น China play ข่าวบวกทะลัก กำไรปกติโต จ่อบันทึกกำไรพิเศษ 2 ก้อนใหญ่ ไตรมาส 2 ลุ้นจ่ายเงินปันผลสูง จากการแบ่งขายหุ้น CAP ปิโตรฯอินโดนีเซีย เปลี่ยนนโยบายบริษัทร่วมเป็นการลงทุนอื่น ประเมินมูลค่ายุติธรรมใหม่ ต้นทุนอยู่ที่ 3.3 หมื่นลบ. เทียบมูลค่าตลาด ราว 5.4 แสนลบ. และกำไรจากการปรับปรุงมูลค่าความนิยมจากการซื้อธุรกิจโรงกลั่นในสิงคโปร์ที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม หนุนการเงินแกร่ง จ่ายปันผลดีขึ้น
วันที่ 12 มิ.ย.2568 หุ้นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง หนุนราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง สูงสุดแตะ 177.50 บาท ก่อนมาปิดที่ระดับ 174.50 บาท บวก 5.50 บาทหรือ+3.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 1,593.50 ล้านบาท ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัว และจากการบรรลุข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน โดยสหรัฐฯเรียกเก็บภาษี 55% กับจีน และจีนเรียกเก็บ 10% กับสหรัฐฯ
บริษัทหลักทรัพย์แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ คงคำแนะนำ”ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 180 บาท ขณะที่หุ้นยังซื้อขายด้วย P/B 0.6 เท่า ซึ่งเพียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง -1.5 S.D. โดยวิเคราะห์ว่า SCC ปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากได้รับผลบวกจากการเปลี่ยนนโยบายการลงทุนในบริษัท PT Chandra Asri Pacific Tbk (CAP) จาก บริษัทร่วมเป็นการลงทุนอื่น บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) กำลังปรับลดสัดส่วนการถือหุ้นจากราว 30.57% เป็น 20% โดยการถือหุ้นออกไป 17,302 ล้านหุ้นในทางบัญชีทำให้ต้องประเมินมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน CAP ใหม่ คาดว่า SCC จะบันทึกกำไรพิเศษจำนวนมากในไตรมาสที่ 2/2568
ปัจจุบันมูลค่าลงทุนของ SCC ใน CAP 33,000 ล้านบาท (ถือหุ้น 30.57%) เพราะลงทุนมานานมาก เทียบกับมูลค่าตลาดปัจจุบันตามสัดส่วนที่ถืออยู่ราว 5.4 แสนล้านบาท และยังมีกำไรพิเศษจากปรับปรุงมูลค่าความนิยมจากการซื้อธุรกิจโรงกลั่นในสิงคโปร์ที่ต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม ทำให้จะมีกำไรพิเศษ 2 ก้อนในไตรมาสที่ 2/2568
“SCC ได้ผลบวกต่อกำไรและกระแสเงินสด โดยไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเปลี่ยนประเภทเงินลงทุนแล้ว ได้เงินสดกลับมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน Deleveraging of Debt นำเงินไปลดหนี้ลดภาระดอกเบี้ยจ่าย นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ที่ดีกว่า ช่วยให้ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น รวมถึงเป็นการเพิ่มโอกาสจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมที่เพิ่มขึ้น”บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ระบุ
ทั้งนี้ CAP เป็นบริษัทจดทะเบียนในอินโดนีเซีย และเป็นผู้นำในธุรกิจปิโตรเคมีที่มีธุรกิจครบวงจร ซึ่ง SCC ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก PT Barito Pacific Tbk 34.63% และ TOP ร่วมถือหุ้นด้วยเป็นอันดับ 3 จำนวน 15%
นอกจากนี้ SCC ยังมีแนวโน้มกำไรปกติไตรมาสที่ 2 ปรับขึ้นเด่นจากไตรมาสแรก (QoQ) จากประโยชน์เต็มไตรมาสจากการปรับขึ้นราคาขายของปูนซีเมนต์ซึ่งช่วยชดเชยปริมาณขายที่อ่อนตัวตามฤดูกาล สเปรดของเคมิคอลส์เพิ่มขึ้นมากตามต้นทุนแนฟทาที่ลดลง กำไรของ SCGP เพิ่มขึ้น รายได้เงินปันผลราว 2,000 ล้านบาท (รับรู้ทุกไตรมาสที่ 2 และ 4)
บล.กรุงศรี คงคำแนะนำ “ถือ” ต่อ SCC ให้มูลค่าเหมาะสมที่ 175 บาท โดย SCGC ลดสัดส่วนการถือหุ้น CAP เหลือ 10.57% สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ SCGC ที่ต้องการลดภาระดอกเบี้ยจ่าย และจัดสรรเงินทุนใหม่เพื่อโอกาสในอนาคต กำไรพิเศษ เป็น catalyst เพิ่มในไตรมาสที่ 2 หนุนให้สามารถถือรอรับเงินปันผล รอกลับเข้าสู่วงจรการฟื้นตัวของธุรกิจปิโตรเคมี โดยคงมุมมอง HDPE/PP spread ยืนเหนือ 400 เหรียญ/ตัน เป็นจุดน่าสนใจกลับมาลงทุนระยะยาว
“มองบวกต่อการลดการถือหุ้น CAP ประเมิน upside ต่อมูลค่าหุ้นเหมาะสมปีนี้ เบื้องต้นราว 3.5-6.2 บาท/หุ้น หรือ +2-4% คาดมีโอกาสได้กระแสเงินสดช่วยลดภาระหนี้ได้ราว 22,000-39,000 หมื่นล้านบาท หรือลด IBD/EQ ได้ราว 0.05-0.1 เท่า เทียบกับณไตรมาสแรกที่ 0.8 เท่า รวมถึงทำให้ SCC ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายราว 0.7-1.3 พันล้านบาท หรือเป็น upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิในปี 2569 ราว 3-5% มีกำไรพิเศษทั้งจากการขายรวมถึง mark to market มาช่วยหนุนกำไรสุทธิ 0-5% และไม่ต้องแบกรับการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนฯจาก CAP (ปี 2566-2567) รับรู้ขาดทุนปีละ 343 และ708 ล้านบาท)