SCB แนะรับมือบาทผันผวน ต้นก.ค.อ่อนค่าสุด สิ้นปี 31.5-32.5 บาท

HoonSmart.com>>ธนาคารไทยพาณิชย์ แนะเตรียมรับมือค่าเงินบาทผันผวน คาดสิ้นปีอยู่ในกรอบ 31.50-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯแกว่งตัวราว 7-10% เตรียมรับมือต้น ก.ค. มีโอกาสอ่อนค่าแตะ 33 บาท

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ คาดว่า ค่าเงินบาทปีนี้จะอยู่ที่ 31.5-32.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แกว่งตัวลดลงเหลือราว 7-10% จากปีที่ผ่านมาแกวางตัว 10-15% โดยคาดว่าช่วงต้นก.ค.นี้ มีโอกาสอ่อนค่าแตะ 33 บาทต่อดอลลาร์

” 6 เดือนแรกปีนี้แกว่งตัวเฉลี่ย 8% ค่าบาทแข็งค่า 5% ซึ่งเป็นการแข็งค่าในทิศทางเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน ในปีนี้ยังคงผันผวนสูง โดย เคยอ่อนค่าไปแตะระดับสูงสุดที่ราว 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่จะกลับมาแข็งค่าแตะระดับต่ำสุดที่ราว 32.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเปลี่ยนแปลงถึง 7.4% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน”นายวชิรวัฒน์ กล่าว

นายวชิรวัฒน์ กล่าวว่า เงินบาทผันผวนนี้มาจากทั้งปัจจัยต่างประเทศและในประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูงต่อเนื่อง โดยเงินบาทที่กลับมาแข็งค่าแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะยังอ่อนแอและมีแนวโน้มโตชะลอลงในปีนี้เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก ซึ่งเทรนด์ตลาดการเงินโลกเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดวัฏจักรการอ่อนค่า

มาตรการกีดกันทางการค้าเป็นปัจจัยที่เริ่มทำให้นักลงทุนหันมาพิจารณาภาวะการลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐฯ เพราะการขึ้นภาษีนำเข้าและมาตรการกีดกันต่าง ๆ ทำให้ความไม่แน่นอนสูงขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการกำกับดูแล(Governance) และการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯในระยะยาวซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาและอาจส่งผลให้เศรษฐกิจอ่อนแอลงในระยะสั้น ดังนั้นจึงเห็นนักลงทุนมีความสนใจต่อการลงทุนในสหรัฐฯ น้อยลง

นอกจากนี้ มาตรการทางการคลังที่ทรัมปีเตรียมผลักดันออกมาทั้งการใช้จ่ายภาครัฐที่มากขึ้น และการลดภาษี ทำให้นักลงทุนโลกกังวลว่าภาครัฐอาจขาดดุลการคลังมากขึ้น ทำให้อาจสูญเสียเสถียรภาพทางการคลังได้ ยิ่งทำให้นักลงทุนต้องการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงออกจากสินทรัพย์ สหรัฐฯ จึงพบว่าเริ่มมีเงินไหลออกจากสหรัฐฯ ไปสู่กล่มประเทศยุโรป รวมทั้งกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM-Asia) มากขึ้นเงินดอลลาร์สหรัฐจึงอ่อนค่าลง ทำให้เงินภูมิภาครวมถึงเงินบาทแข็งค่าขึ้น

สัญญาณที่เป็นตัวสะท้อนทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายนี้คือ
การไหลเข้าของเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยในเดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าต่อเนื่องในปีนี้ จากปัจจัย
1.เทรนด์การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐน่าจะดำเนินไปต่อเนื่องอย่างน้อยในปีนี้ โดยนักลงทุนโลกยังต้องการลด Concentration risk ในสินทรัพย์สหรัฐฯ ผ่านการขายสินทรัพย์สหรัฐฯ ออกบางส่วนทำให้เงินทุนอาจไหลออกจากสหรัฐฯ และดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อ

2.ข้อตกลงการค้าของสหรัฐฯ อาจพ่วงเงื่อนไขทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้ ถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะปฏิเสธข่าวแต่มักพบว่าในเวลาที่มีข่าวการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศเอเชีย มักมีการพูดถึงการแทรกแซงค่าเงินร่วมด้วยซึ่งมักเห็นเงินเอเชีย เช่น เงินไต้หวันดอลลาร์ เงินเกาหลีวอน แข็งค่าขึ้นในช่วงดังกล่าว
ดังนั้น ประเด็นนี้อาจเป็นแรงกดดันเพิ่มเติมที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะกลางถึงยาวได้

3.สงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงน้อยลงและมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนทำให้เงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้จึงทำให้เงินบาทที่มีความสัมพันธ์กับเงินหยวนค่อนข้างสูงเผชิญแรงกดดันด้า
นอ่อนค่าน้อยลงตามไปด้วย

4.ราคาทองที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงจะเป็นแรงหนุนต่อการแข็งค่าของเงินบาทต่อไปได้

นายวชิรวัฒน์ กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินบาทจะยังไม่มากนักและอาจแข็งค่าน้อยกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคได้ เนื่องจากที่ผ่านมาสัดส่วนลงทุนต่างประเทศของไทยยังต่ำทำให้แนวโน้มการนำเงินกลับเข้าไทย (Repatriation flows) อาจจะมีน้อยโดยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลี หรือมาเลเซีย จะพบว่ามูลค่าการถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศ(หุ้นและพันธบัตร) ของไทยยังต่ำกว่ามาก จึงทำให้โอกาสที่จะมี Repatriation มากดดันให้เงินบาทแข็งค่านั้นมีน้อย

นอกจากนี้ ความสนใจของนักลงทุนต่างชาติต่อสินทรัพย์ไทยก็ยังมีไม่มากนักสะท้อนจากสัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยของนักลงทุนต่างชาติโดยพบว่ามีนักลงทุนต่างชาติถือครองเพียงราว 9.8% เท่านั้นซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค

อีกทั้ง สัดส่วนพันธบัตรรัฐบาลไทยในดัชนี JPMorgan Government Bond Index-Emerging Markets ยังถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ 8.8% จึงทำให้แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียอาจไหลเข้าไทยไม่มากนัก โดยมองกรอบเงินบาทที่ราว 31.50-32.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปีนี้

สำหรับประเด็นที่ต้องจับตาในช่วงนี้ คือ คำพิพากษาของศาลการค้าสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าที่ทรัมป์ได้ดำเนินไป โดยศาลพิจารณาว่าการดำเนินมาตรการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยื่นอุทธรณ์ไป
ทำให้มาตรการยังมีผลบังคับใช้อยู่ในช่วงสั้น ๆ

ประเด็นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงด้านการอ่อนค่าของเงินบาทได้ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องใช้กฎหมายมาตราอื่นเพื่อกลับมาขึ้นภาษีนำเข้า เช่น มาตรา 122 ที่มีเงื่อนไขว่ารัฐบาลจะไม่สามารถขึ้นภาษีนำเข้าสูงกว่า 15% ได้

หรือมาตรา 301 ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบประเทศคู่ค้านานและอาจทำให้ต้องเลือกพุ่งเป้าไปที่ประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ก่อน

“ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่า เงินบาทอาจอ่อนค่าได้ไม่มากนักแม้ไทยจะถูกประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม โดยให้จับตาช่วงเดดไลน์ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ที่อาจเห็นแรงกดดันทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้โดยมองกรอบเงินบาทในระยะสั้น (1-2 เดือนนี้) ที่ราว 32.30-33.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ”นายวชิรวัฒน์ กล่าว