บอร์ด “อุตสาหกรรม อีเล็คโทรนิคส์” ไฟเขียวบริษัทย่อยเข้าซื้อหุ้น “เบค ชีส ทาร์ต” เจ้าของชีส ทาร์ต ชื่อดังจากญี่ปุ่น มูลค่า 350 ล้านบาท ชี้ผลตอบแทน 9.49-11.24% หวังกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจปัจจุบัน ผลิตและจำหน่ายอะไหล่อิเล็กทริคนิคส์และบิลบอร์ด พร้อมมองหาธุรกิจใหม่ลงทุนต่อเนื่อง
บริษัท อุตสาหกรรม อีเล็คโทรนิคส์ (EIC) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2561 มีมติให้บริษัท ฟู้ดโฮลดิ้ง จำกัด (Food Holding) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ถือหุ้นสัดส่วน 99.97% จะเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ บริษัท เบค ชีส ทาร์ต (ไทยแลนด์) จำกัด (เบค ชีส ทาร์ต) จำนวน 1,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1,000 บาท คิดเป็น 100% จากผู้ถือหุ้นเดิมของ เบค ชีส ทาร์ต ได้แก่ นายณัฐวุฒิ เภาโบรมย์ สัดส่วน 49% นายเริงฤทธิ์ แมคอินทอช สัดส่วน 2% และ ออโรร่า โพลารี่ส์ แอสเสทส์ ลิมิเต็ด สัดส่วน 49% ในราคาหุ้นละ 350,000 บาท รวมมูลค่าในการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดจากผู้ขาย 350,000,000 บาท
ทั้งนี้ การเข้าซื้อหุ้นสามัญดังกล่าว Food Holding ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ จะได้มาซึ่งทรัพย์สิน และสาขาร้านค้าภายใต้เครื่องหมายการค้า Bake Cheese Tart จำนวน 7 สาขา และสาขาร้านค้าภายใต้เครื่องหมายการค้า ZakuZaku จำนวน 2 สาขาและสิทธิในการทำร้านขนมภายใต้เครื่องหมายการค้า Ringo โดยจะให้ผลตอบแทน (IRR)ในอัตรา 9.49-11.24% และมีระยะเวลาคืนทุน 13-14 ปี ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเบค ชีส ทาร์ต มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมและมีคุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่น
สำหรับแหล่งเงินที่ใช้ซื้อหุ้นมาจากการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ซึ่งจะเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 ในวันที่ 3 ธ.ค.2561 พิจารณาขายหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม คาดว่าจะได้รับเงินเพิ่มทุนไม่เกิน 317 ล้านบาท หากได้รับเงินจากการเพิ่มทุนไม่เพียงพอ จะกู้ยิมหรือใช้กระแสเงินสดภายในบริษัท
การเข้าลงทุนครั้งนี้จะทำให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อกระจายความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจจากธุรกิจปัจจุบัน ได้แก่ ธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายอะไหล่อิเล็กทรอนิคส์และธุรกิจเป็นผู้ให้บริการเช่าพื้นที่ป้ายโฆษณานอกบ้าน ประเภทบิลบอดร์ด ซึ่งบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่าทั้งสองธุรกิจมีความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญต่อการความมั่นคงในการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ ในระยะยาว คือความเสี่ยงจากสัญญาเช่าที่ดินที่เป็นที่ตั้งโรงงานของบริษัท อีไอซี เซมิคอนดักเตอร์ (EIC Semi) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ปัจจุบันมีสัญญาเช่า 3 ปี นับจากวันที่ 20 ก.ค.2561 มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับการต่ออายุสัญญาเช่าและทำให้ธุรกิจหลุดชะงักหรือถูกขึ้นค่าเช่าอีกในอนาคต ประกอบกับแนวทางอื่นการย้ายโรงงานจะใช้เวลา 2-3 ปี ขณะที่บริษัท เฮง พร้อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าไม่มีนโยบายจะขายที่ดินออก
นอกจากนี้มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจบิลบอร์ดของบริษัท ส.ธนา มีเดีย ซึ่งเป็นบริษัทย่อยฯ ที่ถือหุ้น 100% อาจทำให้ธุรกิจชะลอตัวหรือหยุดชะงักได้ แม้ธุรกิจบิลบอร์ดเป็นธุรกิจที่มั่นคงในเชิงผลประกอบการค่อนข้างมาก มีผลประกอบการและกระแสเงินสดที่มั่นคงมีความผันผวนต่ำ
บริษัทฯ ระบุว่า เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ ในปัจจุบันและเพื่อช่วยส่งเสริมให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการสร้างความมั่นคงและมีเสถียรภาพสำหรับการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ ในระยะยาว จึงจำเป็นในการขยายธุรกิจ โดยบริษัทฯ มีนโยบายการลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งต้องเป็นธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตต่อเนื่อง และธุรกิจจะต้องก่อให้เกิดรายได้กระแสเงินสดกับบริษัทฯ ได้ในทันที ธุรกิจจะต้องไม่มีความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญที่ไม่สามารถควบคุมหรือบริหารความเสี่ยงได้ โดยบริษัทฯ กำหนดอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำการลงทุนในธุรกิจต้องไม่ต่ำกว่าต้นทุนทางการเงินถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 8-9% และมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 10-15 ปีขึ้นกับธุรกิจ
ปัจจุบันหุ้นของบริษัทถูกขึ้นเครื่องหมาย C เนื่องจากมีส่วนผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ของทุนชำระแล้ว สำหรับงบการเงินไตรมาส 3/2561 โดยบริษัทฯ ให้ข้อมูลผู้ลงทุนไปเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2561 ระบุว่าสาเหตุหลักที่ขาดทุนจากการรับรู้ขาดทุนด้อยค่าของค่าความนิยมที่เกิดขึ้นจากการซื้อบริษัท ส.ธนา มีเดีย จำนวน 121.71 ล้านบาท มีการตั้งขาดทุนจากการชดเชยค่าเสียหายที่ถูกเรียบร้องจากบริษัท อีไอซี เซมิคอนดัคเตอร์ (EIC SEMI) 11.81 ล้านบาทและบันทึกการขาดทุนจากของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตจาก EIC SEMI จำนวน 7.66 ล้านบาท
สำหรับแนวทางแก้ไขให้ผลดำเนินการดีขึ้น โดยในส่วนของ EIC SEMI จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงของการเติบโตเพิ่มฐานรายได้ ปรับสัดส่วนการขายสินค้าไปยังผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง หาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น ส่วนธุรกิจของส.ธนา เพิ่มรายได้จากการให้บริการของสื่อโฆษณาที่มีอยู่โดยให้ความสำคัญเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นทางเลือกให้เจ้าของสินค้าได้บรรลุกวัตถุประสงค์ทางการตลาดตรงจุด รวมทั้งหาพื้นที่มีศักยภาพในการพัฒนาสื่อโฆษณาเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มฐานรายได้ ให้บริการครบวงจรและบริหารต้นทุนค่าใชจ่ายให้มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังพิจารณาการลงทุนทางธุรกิจอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี เพื่อเพิ่มผลประกอบการที่ดีขึ้น