โดย..สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน
แม้ว่าอาชีพมนุษย์เงินเดือนเราจะต้องทำงานวันละ 8-9 ชั่วโมง นับรวมเวลาเดินทางด้วยก็น่าจะวันละ 11 – 12 ชั่วโมง กลับบ้านก็เหนื่อยอยากพักผ่อนกับครอบครัว ทำให้มนุษย์เงินเดือนหลายคนรู้สึกว่างานเอาเวลาเราไปเกือบ 100% แล้ว เลยไม่ค่อยมีความคิดหารายได้เสริมกันใหญ่ บางคนก็มองว่าความรู้ ทักษะของตนเองไม่ได้มาจากสายอาชีพก็เลยมองว่า โอกาสหารายได้เสริมน่าจะยาก
จริงๆแล้วมีหลายวิธีที่มนุษย์เงินเดือนสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมได้ นี่คือบางวิธีที่น่าสนใจ:
1. ทำงานฟรีแลนซ์: ใช้ทักษะพิเศษของเราทำงานฟรีแลนซ์ เช่น การเขียนบทความ, ออกแบบกราฟิก, หรือพัฒนาเว็บไซต์ ฯลฯ
2. ขายของออนไลน์: ใช้โซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขายสินค้าที่เราชื่นชอบ
3. สอนพิเศษ: หากเรามีความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง เราสามารถสอนพิเศษให้กับนักเรียนหรือผู้ที่สนใจ
4. ลงทุนในหุ้นหรือกองทุน: ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนเพื่อสร้างรายได้แบบ passive income
5. สร้างบล็อกหรือช่อง YouTube: สร้างเนื้อหาที่มีค่าและสร้างรายได้จากการโฆษณาหรือการสนับสนุน
6. ขายสินค้าที่ไม่ใช้แล้ว: ขายสินค้าที่เราไม่ใช้แล้วบนแพลตฟอร์มออนไลน์หรือตลาดนัด (อันนี้ผมขายประจำทั้งหนังสือที่ซื้อมาเต็มบ้านแล้วไม่ได้อ่าน พระเครื่องที่สะสมเอาไว้ เก๊บ้าง แท้บ้าง ดูไม่เป็น 555)
7. ทำงานพาร์ทไทม์: หางานพาร์ทไทม์ที่สามารถทำได้ในช่วงเวลาว่าง
8. สร้างแอปหรือเกม: สร้างแอปหรือเกมที่สามารถสร้างรายได้จากการขายหรือโฆษณา
และอื่นๆอีกมากมาย
หากเรามาพิจารณาดูว่า จะหารายได้เสริมอย่างไรดี ต้องขอขอบคุณข้อมูลจากเพจ spAcebook ที่สรุปไอเดียเพิ่มรายได้ทันทีจากทักษะที่มีอยู่จากหนังสือ Lifelong Rich นับจากนี้ไปต้องมีเงินใช้ตลอดชีวิต ไว้เข้าใจง่ายดี โดยแบ่งวิธีหารายได้เสริมแยกตาม ทักษะ และ ค่าใช้จ่าย ดังนี้
โดยสรุปเป็นแผนภาพง่ายๆ ดังนี้
ที่ง่าย และ เสี่ยงน้อยสุด ก็คือ หารายได้เสริมจากทักษะที่เรามีอยู่ และ ไม่ต้องใช้เงิน ในยุคนี้ง่ายกว่าสมัยก่อนมาก เพราะโลกอินเตอร์เนตให้โอกาสเราในการหารายได้มากมายแบบไม่ต้องใช้เงินเลย เช่น หารายได้ผ่าน tiktok, youtube, facebook ฯลฯ อย่างผมเองก็ใช้ความรู้ ประสบการณ์ในอาชีพนักวางแผนการเงินมาเขียนบทความผ่านสื่อต่างๆ สุดท้ายก็ได้รับความเชื่อถือ ได้รับเชิญไปบรรยายงานต่างๆ เป็นอีกช่องทางของรายได้หลังเกษียณที่ดี และยังได้ออกหนังสือเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง (เล่มนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง) เป็น passive income ที่ดี ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งชื่อเสียง และได้ความรู้ด้วย เพราะตอนเราเขียน เราต้องศึกษาหาข้อมูลเยอะมาก แล้วเอามาย่อยเหลือเฉพาะที่สำคัญเอามาเขียน
หลายคนอาจนึกในใจว่า ก็ผมมีประสบการณ์และความรู้ทางการเงินเยอะ ก็ทำได้ จริงๆนะถ้าถามว่า “ความรู้ทางการเงินผมมากอยู่ในอันดับต้นๆของอุตสาหกรรมหรือเปล่า?” ผมก็กล้ายืนยันนะว่า “ไม่” ความรู้ผมอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น แต่ถ้าถามใหม่ว่า “ชื่อเสียงผมอยู่ในอันดับต้นๆของอุตสาหกรรมหรือเปล่า?” ผมก็กล้าตอบนะว่า “ใช่” แปลว่า ความรู้สำคัญต่อการมีชื่อเสียงก็จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด สังคมไม่ต้องการสูตรคำนวณทางการเงินที่ซับซ้อน สังคมต้องการข้อมูลที่ง่ายๆ ใช้งานได้จริง ซึ่งความรู้ระดับปานกลางก็เพียงพอแล้ว
แต่สิ่งที่สำคัญ ก็คือ เราสร้างโอกาสให้กับตนเองหรือเปล่า ผมสร้างโอกาสให้กับตัวเองมาตลอดชีวิตการทำงาน เขียนบทความลงสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร facebook เว็บการเงิน ฯลฯ และให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อวิทยุ ช่อง youtube ทำ tiktok เอง บางครั้งก็ได้เงิน บางครั้งก็ไม่ได้เงิน แต่ที่ได้แน่ๆ คือ ประสบการณ์ ชื่อเสียง และโอกาส
เมื่อเราในฐานะมนุษย์เงินเดือนสามารถเพิ่มรายได้ได้หลายวิธี วิธีไหนดีกว่ากันคงตอบได้ยากขึ้นอยู่กับทักษะ โอกาสของแต่ละคน แต่อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทักษะไม่ว่าจะเป็นทักษะที่มีอยู่เดิม หรือ ทักษะใหม่ ล้วนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ทั้งนั้น หากเรามาดูงานวิจัยและข้อมูลเชิงสถิติที่สนับสนุนประสิทธิภาพของแต่ละวิธี ดังนี้
1. การพัฒนาทักษะเพื่อเพิ่มโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งหรือเปลี่ยนงาน (Upskilling/Reskilling)
– รายงานของ LinkedIn (2023) พบว่า 87% ของผู้จัดการการจ้างงานเชื่อว่าการพัฒนาทักษะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้งานที่ดีขึ้น
– ข้อมูลจาก World Economic Forum (2023) ชี้ว่า ทักษะด้านดิจิทัล (Data Analysis, AI, Programming) สามารถเพิ่มรายได้เฉลี่ย 20-40%
– Glassdoor (2024) รายงานว่า พนักงานที่เปลี่ยนงานทุก 2-3 ปี มีรายได้เพิ่มขึ้น 10-15% เทียบกับผู้ที่อยู่กับที่เดิม
2. งานเสริมแบบ Freelance หรือ Side Hustle
– Upwork (2023) สำรวจพบว่า 59% ของมนุษย์เงินเดือนในสหรัฐฯ มีงานเสริม โดยมีรายได้เพิ่มเฉลี่ย $500–$2,000/เดือน
– วิจัยจาก McKinsey (2022) พบว่า 40% ของผู้มีงานเสริมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเพิ่มรายได้หลัก 15-30%
3. การลงทุนในหุ้น กองทุน หรืออสังหาริมทรัพย์
– ดัชนี S&P 500 (10 ปีย้อนหลัง) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย ประมาณ 10% ต่อปี
– งานวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทย (2023) พบว่า การลงทุนในกองทุนรวมให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-8% ต่อปี
– ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2565) ชี้ว่า การปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ให้ผลตอบแทน 4-6% ต่อปี
4. การสร้างธุรกิจส่วนตัว (Side Business)
– สำรวจโดย Shopify (2023) พบว่า 35% ของมนุษย์เงินเดือนที่ขายของออนไลน์เสริม มีรายได้เพิ่ม 10,000–50,000 บาท/เดือน
– งานวิจัยของ Harvard Business Review (2022) ชี้ว่า ธุรกิจส่วนตัวที่เริ่มจากงานอดิเรก (เช่น อบขนม, สอนออนไลน์) สามารถสร้างรายได้เพิ่ม 20-50%
5. Passive Income (รายได้แบบไม่ต้องทำงานต่อเนื่อง)
– ข้อมูลจาก NerdWallet (2024) พบว่า การเขียน eBook หรือสร้างคอร์สออนไลน์สามารถสร้างรายได้ $200–$5,000/เดือนในระยะยาว
– รายงานของ The Motley Fool (2023) ชี้ว่า การลงทุนใน Dividend Stocks ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3-6% ต่อปี
เสียดายที่ข้อมูลส่วนใหญ่จะมาจากต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ก็น่าจะเป็นแนวทางสำหรับพวกเราได้ ก็หวังว่าคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้เรามีไอเดียในการสร้างรายได้เพิ่มเติมกันครับ แต่มีแค่ไอเดียไม่พอนะ สำคัญคือ “ต้องทำ” ด้วย