HoonSmart.com>>ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 91 จุด หลังจ้างงานภาคเอกชนแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี กังวลความไม่แน่นอนนโยบายการค้าอาจกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ นักลงทุนจับตาแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และภาษีนำเข้าเหล็กเริ่มมีผลบังคับใช้ ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับลดลง ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 4 มิถุนายน 2568 ปิดที่ 42,427.74 จุด ลดลง 91.90 จุด หรือ -0.22% หลังจากการจ้างงานภาคเอกชนแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ทำให้เกิดความกังวลว่าความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนจับตาแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และภาษีนำเข้าเหล็กเริ่มมีผลบังคับใช้
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,970.81 จุด เพิ่มขึ้น 0.44 จุด, +0.01%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,460.49 จุด เพิ่มขึ้น 61.53 จุด, +0.32%
ADP รายงาน การจ้างงานของภาคเอกชนเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นเพียง 37,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 และต่ำกว่า 110,000 ตำแหน่ง ที่นักวิเคราะห์คาดและยังน้อยกว่า ที่เพิ่มขึ้น 60,000 ตำแหน่งในเดือนเมษายนซึ่งได้ปรับลดลงในการทบทวน
นักลงทุนรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของรัฐบาลซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในวันศุกร์มี โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 125,000 ตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม ตามผลสำรวจของ Dow Jones
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์โจมตีเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)หลังจากได้เห็นรายงานของ ADP โดยเรียกร้องให้พาวเวลล์ ลดอัตราดอกเบี้ยลง
ขณะเดียวกัน สัญญาณอีกประการหนึ่งของความไม่แน่นอนของภาษีศุลกากรที่ส่งผลต่อข้อมูลเศรษฐกิจ คือ ดัชนีภาคบริการ จากสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) ที่ลดลงมาที่ 49.9 ในเดือนพฤษภาคม จาก 51.6 ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี
ล่าสุดประธานาธิบดี ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมเท่าตัวเป็น 50% มีผลบังคับใช้แล้ว มีเพียงสหราชอาณาจักรเท่านั้นที่ได้รับยกเว้น ขณะเดียวกัน วันพุธเป็นวันกำหนดเส้นตายสำหรับคู่ค้าในการเสนอ “ข้อเสนอที่ดีที่สุด” สำหรับข้อตกลงเพื่อป้องกันการขึ้นภาษี “ซึ่งกันและกัน” ที่กำหนดไว้ในเดือนกรกฎาคม
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีต่างก็ลดลงเกือบ 10 จุด เนื่องจากนักลงทุนกำลังพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีอยู่ที่ระดับ 4.36% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม
โดยล่าสุดปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กกล้าและอะลูมิเนียมเป็นเท่าตัวสู่ระดับ 50% ซึ่งจุดชนวนความวิตกกังวลรอบใหม่เกี่ยวกับการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ
ความหวังต่อข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนลดลง หลังจากที่ทรัมป์โพสต์ข้อความทางโซเชียลมีเดียเมื่อเช้าวันพุธว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง “ทำข้อตกลงด้วยได้ยากยิ่ง” ข้อตกลงสงบศึกภาษีศุลกากรที่เจนีวาระหว่างทั้งสองประเทศดูเปราะบางมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความขัดแย้งในประเด็นต่างๆ เช่น การส่งออกชิป การจัดหาแร่ธาตุหายาก ไต้หวัน และวีซ่า
หุ้น CrowdStrike บริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ลดลงเกือบ 7% หลังจากที่บริษัทคาดการณ์รายได้ในไตรมาสปัจจุบันต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง โดยหุ้น Valero Energy และ Phillips 66 นำการปรับตัวลดลง โดยลดลงกว่า 3%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก โดยได้แรงหนุนจากการที่เยอรมนีอนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีนิติบุคคลมูลค่า 46,000 ล้านยูโร (53,000 ล้านดอลลาร์) เพื่อกระตุ้นการเติบโต มาตรการลดหย่อนภาษีดังกล่าวเป็นมาตรการแรกในชุดมาตรการทั้งหมดของรัฐบาลใหม่ของเยอรมนี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจที่กำลังมีปัญหาหดตัวเป็นปีที่สามติดต่อกัน
การสำรวจล่าสุดพบว่ากิจกรรมทางธุรกิจในเขตยูโรในเดือนพฤษภาคมแทบจะไม่ขยายตัว ขณะที่ภาคบริการของเยอรมนีหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบกว่าสองปี
นักลงทุนยังลงทุนด้วยความระมัดระวัง หลังจากสหรัฐฯตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมเป็นสอง ขณะที่เส้นตายที่ประเทศต่างๆ ต้องยื่นข้อเสนอต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ของสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงขึ้นใกล้เข้ามานี้
นอกจากนี้ สหรัฐฯ และจีนยังเตรียมที่จะหารือการค้าที่มีความเสี่ยงสูงในสัปดาห์นี้ด้วย และจับตาการประชุมนโยบายของธนาคารกลางยุโรปในวันพฤหัสบดี ซึ่งตลาดมองว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%
หุ้นส่วนใหญ่ของยุโรปปรับตัวสูงขึ้นนำโดยกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 1.1% โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้น Campari (ที่ปรับตัวสูงขึ้น 6.4%
หุ้น Airbus SE เพิ่มขึ้น 2.2% หลังจากที่ Bloomberg News รายงานว่าสายการบินของจีนกำลังพิจารณาสั่งซื้อเครื่องบินหลายร้อยลำภายในเดือนหน้า
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 551.02 จุด เพิ่มขึ้น 2.58 จุด, +0.47%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,801.29 จุด เพิ่มขึ้น 14.27 จุด, +0.16%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,804.67 จุด เพิ่มขึ้น 40.83 จุด, +0.53%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,276.48 จุด เพิ่มขึ้น 184.86 จุด, +0.77%
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม ลดลง 56 เซนต์ หรือ 0.88% ปิดที่ 62.85ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม ลดลง 77 เซนต์ หรือ 1.17% ปิดที่ 64.86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
