HoonSmart.com>>”พีทีที โกลบอล เคมิคอล”(PTTGC) วาง 3 กลยุทธ์ฝ่าวิกฤตการค้าโลกหลังเผชิญนโยบายภาษีสหรัฐฯ 1.ปรับพอร์ตโฟลิโอ เล็งขายโรงงาน Vencorex ในไทย-สหรัฐฯ คาดแล้วเสร็จครึ่งหลังปี 68 2. ลดต้นทุน-เพิ่มรายได้ ดันผลงาน ล่าสุดเพิ่มเป้าลดต้นทุนเป็น 5,500 ล้านบาทจากต้นปีตั้งไว้ 4,500 ล้านบาท และ 3.ลดหนี้-แผน Asset Light ตั้งเป้า 30,000 ล้านบาท เล็งขายธุรกิจ Non-Core หวังเพิ่มกระแสเงินสด-ลดหนี้ คืบหน้าครึ่งหลังปี 68 ถึงปี 69 ทั้งนี้บริษัทฯไม่รับผลกระทบนโยบายภาษีสหรัฐฯ
นายปวีณ เจียสกุล ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) กล่าวว่า ในไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทก็ได้รับผลกระทบในเรื่องนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ตอนนี้อยู่ในช่วงตกลงกันได้ในช่วง 90 วัน ผลกระทบขึ้นภาษีในอัตราค่อนข้างสูง โดย PTTGC มีความสามารถในการแข่งขันอยู่ โดยเฉพาะมีความสามารถในการใช้วัตถุดิบ โดยไตรมาสแรกได้รับอีเทนเพิ่มขึ้นจากปตท. ปีนี้คาดว่าจะได้รับอีเทนเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2567 ซึ่งไตรมาสแรกทำได้ตามแผนที่วางไว้ ตรงนี้ทำให้ความสามารถแข่งขันดีอยู่
บริษัทให้ความสำคัญ 1. การปรับพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่เริ่มทำ ปีนี้ก็จะได้เห็นผลทำให้ผลประกอบการดีขึ้นอย่างไร ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้ยุติ 2 บริษัทหลัก คือ Vencorex France และ Vencorex TDI เนื่องจากเล็งเห็นว่าความสามารถในการแข่งขันระยะยาวอาจได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรม ซึ่ง 13 พ.ค. 2568 เป็นต้นไป บริษัทฯจะยุติการรับรู้ผลขาดทุน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของทั้งสองบริษัทก็จะยุติไป คาดว่าจะบันทึกกำไรราว 30-40 ล้านยูโรในไตรมาส 2/2568 ส่วนโรงงาน Vencorex ที่ตั้งในไทย และสหรัฐฯ อยู่ในกระบวนการเจรจากับผู้ซื้ออยู่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในครึ่งปีหลัง
2.การเพิ่มผลประกอบการ ผ่านการลดต้นทุน และเพิ่มรายได้ ซึ่งตั้งเป้าปี 2568 เพิ่มประสิทธิภาพจะทำให้ได้ 4,500 ล้านบาท เป็นเป้าหมายก่อนประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐฯ แต่ตอนนี้เริ่มเห็นศักยภาพที่จะทำได้ จึงได้เพิ่มเป้าลดต้นทุนมาที่ 5,500 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกทำได้เป้าสูงที่ 800 ล้านบาทแล้ว
และ 3. การปรับด้านการเงิน เป็นแผนการลดหนี้ ปีนี้จะทำเพิ่ม เพราะสถานการณ์อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจอาจชะลอตัว จึงต้องเตรียมความพร้อม ซึ่งเป็นที่มาของแผนลดหนี้ และแผน Asset Light ตั้งเป้าขึ้นมาให้ได้ 30,000 ล้านบาท เห็นสถานการณ์อุตสาหกรรมท้าทายอยู่ และ GC มีธุรกิจ Non-Core ยังสามารถหาผู้ซื้อหรือหาพันธมิตรรับกิจการเหล่านั้นไป ทีมีความเชี่ยวชาญและทำได้ดีมากขึ้น ตรงนี้อาจช่วยทำให้มีกระแสเงินสดเข้ามาที่บริษัท อาจนำเงินไปใช้ลดหนี้ได้ด้วย สร้างความแข็งแกร่งด้านการเงินของบริษัทต่อไป เป้าหมายการดำเนินการวางระยะเวลาในช่วงครึ่งหลังปี 2568 จนถึงปี 2569
ธุรกิจปิโตรเคมีได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษี โดยผู้เล่นรายใหญ่เป็นสหรัฐฯ และจีน ซึ่งจีนสามารถผลิตปิโครเคมีเองได้ แต่บางส่วนยังต้องพึ่งการนำเข้าจากสหรัฐ โดยเฉพาะตัวเม็ดพลาสติก PE ถ้ามีการตั้งกำแพงภาษีขึ้นมา อาจทำให้สหรัฐต้องหาหนทางระบายเม็ดพลาสติกไปสู่ประเทศอื่น ๆ ขณะเดียวกันจีนก็ต้องหาแหล่งอื่นเพื่อนำเข้าเม็ดพลาสติกเข้าไปแทน ซึ่งสถานการณ์ตรงนี้ยังมีความไม่แน่นอน และมีการเปลี่ยนแปลงได้รายวัน PTTGC ในฐานะผู้ผลิตก็ต้องติดตาม และประเมิน โดยบริษัทได้ประเมินหลายสถานการณ์เพื่อหาตอบรับเวทีโลกอย่างไร นอกจากนี้ติดตามภาพรวมผลกระทบเศรษฐกิจโลก
“GC ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงเลยจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เพราะ GC ไม่ได้ส่งเม็ดพลาสติกไปสหรัฐฯ ดังนั้นกำแพงภาษีสหรัฐฯที่ตั้งขึ้นมาก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเรา ่ลูกค้าหลักของเราก็อยู่ในประเทศ และอยู่ในเอเชียแปซิฟิก ดังนั้นการส่งออกยังทำได้เหมือนเดิม”
นอกจากนี้ บริษัทก็มีดูการบริหารความสามารถในการแข่งขันให้มีความคล่องตัว เช่น การลด Inventory การลด Product grade ที่อาจจะไม่มีความจำเป็น เพื่อให้มีความคล่องตัว
นายปวีณ กล่าวต่อว่า ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้ามีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเมืองประเทศต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรม ซึ่ง Supply ที่สร้างในจีนมีมากกว่า Demand ทำให้ภาพเป็น Over Supply บริษัทจึงต้องให้ความสำคัญในการควบคุมให้ได้ เป็นขีดความสามารถในการแข่งขัน ความได้เปรียบ อย่างที่ PTTGC มีความได้เปรียบในแง่วัตถุดิบอีเทน ทำให้มีความสามารถในการแข่งขัน ทางธุรกิจได้ เพราะส่วนใหญ่จะใช้วัตถุดิบนาฟทา และบริษัทยังให้ความสำคัญในการลดต้นทุน ไตรมาสแรกเห็นผลช่วยลดต้นทุนได้ราว 800 ล้านบาท และทำต่อไป เป้าปี 2568 ทำให้ได้ 5,500 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้สามารถผ่านสถานการณ์ที่ท้าทายไปได้
นอกจากนี้ มุ่งเน้นระยะยาวเข้าสู่ธุรกิจ High Value อย่าง Allnex ที่สามารถรักษาการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมีภูมิคุ้มกันจากปัจจัยภายนอกได้ รวมไปถึงเป้าหมายการลดคาร์บอนให้เป็น Net Zero
