HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ 3 ดัชนีหลักปรับตัวลดลง ดาวโจนส์ลบ 114 จุด หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวพุ่ง กังวลภาระหนี้ของรัฐบาลนักลงทุน มองหาปัจจัยใหม่บ่งชี้ทิศทางตลาด ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ลดลง ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 9 สัปดาห์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ปิดที่ 42,677.24 จุด ลดลง 114.83 จุด หรือ -0.27% จากการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาว ด้วยความกังวลต่อภาระหนี้ของรัฐบาลขณะที่นักลงทุนมองหาปัจจัยใหม่ที่จะบ่งชี้ทิศทางตลาด
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,940.46 จุด ลดลง 23.14 จุด, -0.39%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,142.71 จุด ลดลง 72.75 จุด, -0.38%
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาว ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักที่น่าวิตกกังวล ได้พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปี พุ่งแตะระดับ 4.997% ในช่วงเวลาสั้นๆ เนื่องจากสมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันบางคนคัดค้านร่างกฎหมายลดภาษีเงินได้ ทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต้องไปรัฐสภาในวันอังคารเพื่อกดดัน
ตลาดไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเห็นที่ไม่ตรงกันของสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ แต่กลับให้ความสนใจกับความเป็นไปได้ที่ร่างกฎหมายของทรัมป์อาจทำให้หนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงทศวรรษหน้า ขณะเดียวกัน การขาดดุลงบประมาณประจำปีต่อ GDP จะเพิ่มขึ้นจาก 6.4% ในปัจจุบันเป็น 6.9% เช่นกัน
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่งทั้ง Fitch and S&P Global Ratings ลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐจากความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยล่าสุด Moody’s Ratings ลดเรตติ้งจากระดับ Aaa สู่ระดับ Aa1
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการให้ความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยอัลแบร์โต มูซาเล็ม ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า แม้ว่าทรัมป์จะมีข้อตกลงสงบศึกการค้ากับจีนเป็นเวลา 90 วันแล้ว แต่ภาษีศุลกากรในระดับปัจจุบันก็สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นได้
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพากันปรับลง หุ้น Apple ลดลง 0.92% หุ้นMicrosoft ลดลง 0.15% หุ้น Amazon ลดลง 1.01% หุ้น NVIDIA ลดลง 0.88% หุ้น Alphabet ลดลง 1.54% แต่หุ้น Tesla บวก 0.51% หลังจากอีลอน มัสก์ ประกาศในการประชุมเศรษฐกิจที่กาตาร์ให้คำมั่นว่าจะยังคงดำรงตำแหน่งซีอีโอของเทสลาต่ออีก 5 ปี
ตลาดหุ้นยุโรปปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 9 สัปดาห์ โดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและโทรคมนาคมนำการปรับขึ้น ขณะที่ผลประกอบการที่ดีของบริษัทบางส่วนก็ช่วยหนุนความเชื่อมั่น
ตลาดหุ้นเยอรมนีและไอร์แลนด์แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ตลาดหุ้นสเปนซื้อขายในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008
นักลงทุนมองข้ามการลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐจาก Moody’s Ratings ขณะที่ตลาดส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี LPR เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนของธนาคารกลางจีน
นักลงทุนยังคงรอข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติม โดยภาษีศุลกากรreciprocal tariffsของทรัมป์จะมีผลบังคับใช้อีกครั้งในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 554.02 จุด เพิ่มขึ้น 4.04 จุด, +0.73%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,781.12 จุด เพิ่มขึ้น 81.81 จุด, +0.94%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,942.42 จุด เพิ่มขึ้น 58.79 จุด, +0.75%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,036.11 จุด เพิ่มขึ้น 101.13 จุด, +0.42%
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.8% โดยหุ้น EDP Renovaveis ของโปรตุเกสเพิ่มขึ้น 4.1% หลังจาก Deutsche Bank ปรับคำแนะนำลงทุนจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ”
หุ้น Oersted ผู้พัฒนาพลังงานลมนอกชายฝั่ง พุ่งขึ้น 14.5% และหุ้น Vestas Wind เพิ่มขึ้น 4.8% หลังจากที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่ง
หยุดงานเมื่อเดือนที่แล้วสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งขนาดใหญ่ที่วางแผนไว้บริเวณนอกชายฝั่งนิวยอร์ก
หุ้น Vodafone ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมเพิ่มขึ้น 7.3% หลังจากที่กล่าวว่า กระแสเงินสดในปีนี้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดัฃนีกลุ่มเพิ่มขึ้น 1.7%
หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่ผู้บริโภคจีนให้ความสนใจนั้นปรับขึ้น โดยหุ้น LVMH เพิ่มขึ้น 1.3% หุ้น Burberry บวก 3.7% และหุ้น Kering เพิ่มขึ้น 4% ดัชนีโดยรวมปรับตัวขึ้น 0.3%
หุ้น UBS ธนาคารของสวิตเซอร์แลนด์ร่วง 3.3% โดยเทรดเดอร์อ้างรายงานสื่อที่ว่าธนาคารแห่งนี้เตรียมจะแพ้ยกแรกในการต่อสู้กับข้อเสนอของรัฐบาลที่จะให้ธนาคารถือเงินทุนเพิ่มเติม
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 13 เซนต์ หรือ 0.21% ปิดที่ 62.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือน
กรกฎาคม ลดลง 16 เซนต์ หรือ 0.24% ปิดที่ 65.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
