แบงก์ลดดบ.เฉพาะกิจกดกำไรจิ๊บจ๊อย อินโดฯขึ้น 0.25% พยุงรูเปียห์-บาทอ่อน

HoonSmart.com>> สมาคมธนาคารไทยปรับลดดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) 0.25% ลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ทั้งรายบุคคล และ SME เป็นเวลา 6 เดือนตามคำขอ นายกฯ ขอบคุณที่ช่วยต่อลมหายใจให้ บล.ทรีนีตี้คาดมีผลต่อกำไรแบงก์เพียง 1-3% แนะ BBL, KTB, TISCO กระทบน้อยสุด ด้านเงินบาทอ่อน 37 บาทเศษ อินโดนีเซียเซอร์ไพรส์ เพิ่มดอกเบี้ย 0.25% มาอยู่ที่ 6.25% พยุงค่าเงินรูเปียห์อ่อนต่ำสุดในรอบ 4 ปี จับตาญี่ปุ่นประชุม 26 เม.ย. พยุงค่าเงินเยน ดาวโจนส์ล่วงหน้าร่วง 400 จุด 

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2567 ที่ประชุมคณะกรรมการสมาคมธนาคารไทยได้ตระหนักและเห็นถึงความจำเป็นในการออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม สำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ในระหว่างที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และไม่ทั่วถึง ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) 0.25% สำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคล และSME เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อลดภาระดอกเบี้ย และมีโอกาสฟื้นตัวปรับตัว

ทั้งนี้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่มีทั้งมาตรการระยะสั้นรองรับการเปลี่ยนผ่าน และมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาว สอดคล้องกับมาตรการการแก้หนี้อย่างยั่งยืน และการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารสมาชิกจะเร่งพิจารณาดำเนินการตามหลักการดังกล่าว และเตรียมความพร้อมของระบบงาน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเปราะบางของแต่ละธนาคารตามบริบทที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในตลาดเงินตลาดทุน สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้า และตระหนักถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและผู้มีส่วนได้เสียในวงกว้าง (Corporate Responsibility) ซึ่งการช่วยเหลือลูกค้า ประชาชน และผู้ประกอบการรายย่อย ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนอื่นๆในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการระยะยาวในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อนำไปสู่ความสามารถในการแข่งขัน และการสร้างรายได้ที่พอเพียงและยั่งยืน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ขอบคุณสมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ที่ช่วยลดดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลง 0.25% เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้กลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคล และ SME ซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

“ผมขอชื่นชมการลดดอกเบี้ย ที่สะท้อนให้เห็นว่าสมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง แม้จะเป็นเวลาเพียงแค่ 6 เดือน แต่ก็ช่วยต่อลมหายใจ ให้สามารถเอากำไรไปต่อยอดได้ ถือเป็นการช่วยเหลือทั้งภาคธุรกิจ และประชาชนโดยรวม” นายกรัฐมนตรี กล่าว

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ประเมินว่าการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ให้กลุ่มลูกค้ากลุ่มเปราะบาง เป็นเวลา 6 เดือนนั้น มองกระทบต่อกำไรกลุ่มแบงก์เล็กน้อยราว 1-3% จากประมาณการกำไรปี 2567   สำหรับ BBL, KTB , TISCO คาดกระทบราว 1% ส่วน KBANK , TTB กระทบราว 2% และ SCB กระทบราว 3%

“เรามองการช่วยเหลือลูกหนี้ดังกล่าวกระทบต่อประมาณกำไรและพื้นฐานไม่มาก แต่อาจกระทบเชิงจิตวิทยามากกว่า แนะนำ SELECT BUY โดยเลือก BBL , KTB และ TISCO ซึ่งมีโอกาสได้รับผลกระทบน้อยสุด” บล.ทรีนีตี้ แนะนำ

ด้านค่าเงินบาทยังคงอ่อนตัวลง แม้ปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 37.01 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 37.08 บาท/ดอลลาร์ก็ตาม ตลาดจับตาผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) วันที่ 26 เม.ย.ว่าจะตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินอย่างไร หลังจากเงินเยน
อ่อนค่าไปแตะ 155 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นการอ่อนค่าสุดในรอบ 34 ปี

ขณะที่ธนาคารกลางอินโดนีเซียปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 6.25% สวนทางกับที่ตลาดคาด ทำให้อัตราดอกเบี้ย  ปัจจุบันเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ประกาศใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในปี 2016

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองการปรับขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ของธนาคารอินโดนีเซีย น่าจะเป็นการปรับรอบเดียวเพื่อประคองเสถียรภาพค่าเงินรูเปียห์เป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อของอินโดนีเซียอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารกลางในปีนี้กำหนดไว้ที่ 1.5%-3.5%

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาค 25 เม.ย. 67 ญี่ปุ่นนำดิ่ง -2.16% ตามด้วยเกาหลีใต้ -1.76% ส่วนฮ่องกง+0.48% และจีน+0.27% ไทยบวก+0.23% คืนนี้เวลาประมาณ 20.00 น. ในประเทศไทย ตลาดหุ้นสหรัฐทั้ง 3 แห่งร่วงลงมากกว่า 1% ดาวโจนส์ทรุด 400 จุด บอนด์ยีลด์ 10 ปี พุ่งต่อแตะ 4.725% กังวลตัวเลข GDP

หุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,364.27 จุด เพิ่มขึ้น 3.17 จุด มูลค่าซื้อขาย 41,433.97 ล้านบาท โดยต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,796.21 ล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 375.86 ล้านบาท ด้านนักลงทุนไทยขาย 1,735.30 ล้านบาท

นายกิตติ บัวบึง ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้แกว่งแคบ ขาดปัจจัยใหม่หนุน  รอดูตัวเลข GDP ไตรมาส 1/67 ของสหรัฐคืนนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดคงเลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัวตามปัจจัยเฉพาะตัว อย่างกลุ่มโรงพยาบาล ที่เป็นพวก Defensive และเงินบาทอ่อนค่าแม้จะกดดันหุ้นบิ๊กแคป แต่ก็เป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มส่งออก และการลงทุน รวมถึงมีการเล่นเก็งกำไรในช่วงของการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/67 ด้วย