SCG มั่นใจรายได้ Q2 วิ่งต่อ เน้นสินค้าHVA-หั่นถ่านหิน50%ลดต้นทุน

HoonSmart.com>>เอสซีจี มั่นใจไตรมาส 2 กำไรโตต่อเนื่อง เดินหน้ารุกตลาดสินค้ามูลค่าเพิ่ม ใช้พลังงานสะอาดแทนถ่านหิน ยึดจุดทำกำไรสูงสุด ช่วยลดต้นทุน เพิ่มกำไร ฝ่าความเสี่ยงสงครามตะวันออกกลาง ราคาพลังงานผันผวน เน้นกอดเงินสดดีที่สุดไม่เร่งลงทุนช่วงเศรษฐกิจโลกเปราะบาง เผยหุ้น SCC เทรดตลาดสิงคโปร์ผลตอบรับน่าพอใจเฉลี่ยวันละ 4 ล้านบาทคาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี (SCG) มั่นใจว่า ผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังมีรายได้ที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ปี 2567 ที่มีรายได้ 124,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน และมี EBITDA 12,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% มีกำไรเพิ่มขึ้น 3,559 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาสินค้านวัตกรรมที่มีมูลค่าสูง (High Value Added) การใช้พลังงานทางเลือกเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตมากขึ้น และหาระดับที่สามารถทำกำไรได้สูงสุด หรือ Optimize Profit ส่งผลให้บริษัทสามารถทำกำไร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ท่ามกลางความซบเซาของภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ

“ช่วงที่เหลือของปีเราเดินหน้าเต็มที่ในการผลักดันสินค้ากรีน ในทุกหน่วยธุรกิจต่อไป นำเอาดิจิทัลเข้ามาปรับปรุงประสิทธิภาพ การใช้พลังงานสะอาด โดยไตรมาสแรก มียอดขาย SCG Green Choice คิดเป็น 53% ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้น 1,114 ล้านบาท มีการใช้เชื้อเพลิงทดแทนในโรงงานปูนซีเมนต์ไทย ในสัดส่วนสูงถึง 47% เน้นหาจุด หรือระดับที่สามารถทำกำไร ได้สูงสุด ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องผลิตจำนวนมาก ทำให้เรามีกำไรในช่วงที่เศรษฐกิจโลกซบเซา ราคาน้ำมันผันผวน ราคาปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง และยังเป็นการสร้างศักยภาพด้านการแข่งขันในระยะยาวด้วย ยอดขายน่าจะโตตามเป้าที่ตั้งไว้โต 20%”นายธรรมศักดิ์ กล่าว

นายธรรมศักดิ์ คาดว่าช่วงที่เหลือของปียอดขายและรายได้จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจโลก จะยังมีความเสี่ยง และราคาน้ำมันที่ยังมีความผันผวนสูงจากจากความขัดแย้งระหว่างประเทศโดยเฉพาะในตะวันออกกลาง เพราะ

1.เศรษฐกิจไทย เริ่มเห็นการขยับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มเข้ามา

2.นักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้น

3.เศรษฐกิจประเทศที่อยู่รอบๆ ประเทศไทยดีขึ้นเห็นได้จากตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าธุรกิจการก่อสร้างที่เวียดนาม อาจจะยังชะลออยู่ แต่ก็อยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น

4.เศรษฐกิจในระดับชาวบ้าน ที่ไม่ได้อยู่ในระดับ Mega project ก็เห็นการขยับตัวดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องที่น่ากังวล คือ เรื่องราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น และมีความผันผวนด้านราคาสูงมาก โดยมีการเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 110-80 เหรียญต่อบาร์เรล แม้ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 90 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้การบริหารความเสี่ยงเรื่องต้นทุนพลังงานเป็นสิ่งที่น่ากังวล

“พูดยากว่าจะกระทบกับเราเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะความผันผวนสูงมาก สมัยก่อนถ้าราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นไป 10 เหรียญต่อบาร์เรล อาจจะทำให้ต้นทุนเราเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาท แต่สมัยนี้ตอบยาก เพราะช่วงที่ราคาวิ่งผันผวนมาก”นายธรรมศักดิ์ กล่าว

นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทฯลดผลกระทบจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ด้วยการลดการใช้พลังงานถ่านหินลงวันละ 50% และหันมาใช้พลังงานทางเลือกที่เป็นพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนลดลง และได้รับผลกระทบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ทำให้มีความได้เปรียบเรื่องต้นทุน รวมถึงรักษากระแสเงินสด คงสภาพคล่องในระดับสูงๆ จะทำให้สามารถรับมือกับผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ทั้งผลกระทบจากกความขัดแย้งระหว่างประเทศ ผลกระทบจากราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ที่จะทำให้ Supply Chain ทั่วโลกมีการปรับตัว บริษัทก็ต้องปรับตัวให้ทัน

“ปีนี้จะลงทุนประมาณ 40,000 ล้านบาท จากปกติปีละ 50,000 ล้านบาท ไตรมาสแรกใช้ไปแล้ว 9,400 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต พัฒนาสินค้าโพลิเมอร์ และกรีน คนจะตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องรักษากระแสเงินสดไว้ในระดับสูง เป็นการระมัดระวังเกินไปหรือเปล่า แต่เรามองว่าความเสี่ยงที่จะเข้ามากระทบในช่วงนี้มีเยอะมาก เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความระมัดระวัง การมี supply chain ที่มีความหลากหลาย จะช่วยให้เรามีความคล่องตัวในการทำธุรกิจได้ดีขึ้น สามารถป้องกันได้เร็วขึ้น และหาโอกาสทางธุรกิจได้”นายธรรมศักดิ์ กล่าว

นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามหวังว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศจะไม่บานปลายไปมากกว่านี้ เพราะช่วงปลายปีจะมีการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา เชื่อว่าทุกฝ่ายจะรักษาสถานการณ์ไว้ให้นิ่งที่สุด

สำหรับ ธุรกิจพลังงานสะอาด มีเมกะวัตต์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่มีการเซ็นสัญญาไปแล้ว ได้ถึง 500 เมกะวัตต์ และปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นมาได้อีกหลายร้อยเมกะวัตต์ รวมถึง Heat Battery ที่ได้เซ็นสัญญากับลูกค้า 20 รายแล้ว และพยายามที่จะเร่งให้เกิดขึ้นที่ประเทศไทย จะเป็นตัวช่วยให้อุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านไปสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำและมีกำไร

ด้านธุรกิจปิโตรเคมีคอล หรือ SCGC เป็นช่วงที่อยู่ในการปรับตัวลดลง ถึงแม้ว่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้วแต่การปรับขึ้นก็เป็นลักษณะของการค่อยๆกระเตื้องขึ้น โดยจะเน้นจุดที่สามารถทำกำไรได้มากที่สุด ในขณะที่โครงการปิโตรเคมีครบวงจรที่เวียดนาม อยู่ในช่วงของการประเมินและตรวจสอบเครื่องจักรอย่างถี่ถ้วน เพราะจะเน้นเรื่องของความปลอดภัยเป็นหลัก ก็จะทำการบำรุงรักษา ซึ่งก็ไม่กระทบต่อรายได้มากนัก เพราะช่วงนี้ราคาปิโตรฯมีการปรับตัวลดลง คาดว่าจะสามารถกลับมาผลิตได้เต็มที่ในไตรมาส 3 ของปี

ทั้งนี้ มีแผนเลื่อนการนำบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะสถานการณ์ไม่เอื้อ

“ความต้องการบริโภคปิโตรเคมีในไตรมาส 2 จะใกล้เคียงกับไตรมาส 1 โดยตัวแปรหลักอยู่ที่ การสู้รบกันในตะวันออกกลาง ที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น แต่ผู้ผลิตปิโตรเคมี ไม่สามารถที่จะยื้อราคาต่อไปได้ เชื่อว่าจะต้องมีการผลักต้นทุนนั้นไปใส่ในราคาสินค้า เพราะฉะนั้นครึ่งปีหลังซึ่งเป็นช่วงที่โรงงานผลิตหลายๆ แห่งปิดซ่อมบำรุงประจำปี และกำลังการผลิตใหม่ยังออกมาไม่มาก ประกอบกับเศรษฐกิจโลกเริ่มดีขึ้น และสถานการณ์ตะวันออกกลางไม่บานปลาย ดีมานด์ปิโตรเคมีจะกลับมาดีขึ้น”นายธรรมศักดิ์ กล่าว

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง หรือ SCGP สร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการวัตถุดิบ การส่งเสริมการปลูกไม้ยูคาลิปตัสแบบครบวงจร เพื่อให้ได้วัตถุดิบคุณภาพและช่วยกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ 31,770 ไร่ จำนวน 152,181 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด นำเทคโนโลยี Machine Learning และปัญญาประดิษฐ์ มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดการใช้พลังงานและต้นทุน และสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการเตรียมความพร้อมรองรับเทรนด์การเติบโตของธุรกิจสีเขียว

ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน พัฒนานวัตกรรมปูนซีเมนต์หลากหลายประเภทตามการใช้งาน ล่าสุดการใช้ ‘ปูนคาร์บอนต่ำ’ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 85% และวันที่ 5 พฤษภาคมนี้ จะเปิดตัวปูนคาร์บอนต่ำ (เจเนอเรชัน 2) ซึ่งลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 15-20% เทียบเท่ามาตรฐานสากล พร้อมตั้งเป้าปีนี้ เปลี่ยนกระบวนการผลิตทุกโรงงานปูนซีเมนต์ในไทยให้เป็นปูนคาร์บอนต่ำ (เจเนอเรชัน 2) ขณะเดียวกันยังต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำอื่น ๆ ด้วย รวมถึงพัฒนาสูตรปูน ให้เหมาะสมกับพื้นที่

นางจันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน เอสซีจี กล่าวว่า ราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นมีผลกระทบต่อทุกๆอุตสาหกรรมทั่วโลก แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยเอสซีจีได้มากๆในสถานการณ์ผันผวน และในช่วงเศรษฐกิจขาลง คือการให้ความสำคัญกับนวัตกรรมโดยเฉพาะสินค้ามูลค่าสูง (HVA) เพราะสินค้าเหล่านี้มีมาร์จิ้นสูง ทำให้บริษัทยังมีกำไรและทนทานต่อความผันผวน

ธุรกิจปิโตเคมีคอล ประมาณ 40% เป็นสินค้า HVA ราคาจะสูงกว่าสินค้าทั่วๆไป 100 กว่าเหรียญต่อตัน เป็นกลยุทธ์การบริหารกลุ่มสินค้า เพราะว่าในบางสถานการณ์ สินค้าทั่วๆไป จะไปได้ โดยจะเน้นการ optimize product mix ว่าช่วงไหนใช้สินค้ากลุ่มไหน ในสถานการณ์แบบไหน ภาพรวมของปีที่แล้วกลุ่ม HVA อยู่ประมาณ 34-35%

สำหรับ หุ้นปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ที่ได้รับเลือกให้ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา เป็นช่องทางใหม่ให้นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้น SCC และผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ โดยปัจจุบันมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 4 ล้านบาท ถือว่ายังต่ำเพราะเพิ่งเริ่มเข้าเทรด แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อ่านข่าวผลการดำเนินงาน SCC ไตรมาส 1/67

SCC เผย Q1/67 กำไร 2,425 ลบ. EBITDA โตธุรกิจซีเมนต์-ก่อสร้างหนุน