HoonSmart.com>>ตลาดหลักทรัพย์ฯเผยเงินทุนไหลออกเริ่มนิ่งนับจากปลายเม.ย.-พ.ค. หุ้นปรับขึ้นมีจำนวนมากกว่าที่ราคาลดลง ยอดสั่งซื้อของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1 – 2 เพิ่มขึ้น คาดหนุนผลการดำเนินงานกระเตื้อง หวังสหรัฐฯบรรลุข้อตกลงทางภาษีกับประเทศคู่ค้า เป็นแรงส่งหนุนหุ้นไทยไปต่อ จับตาเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตร 6 หมื่นล้านบาทสะท้อนไทยยังเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย ย้ำผลตอบแทนเฉลี่ยตลาดหุ้น 3.9% ยังสูงกว่าฝากเงิน
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น จากในวันที่ 10 เมษายน ที่สหรัฐฯ ได้ประกาศเลื่อนการเก็บ reciprocal tariff ไปอีก 90 วัน ทำให้มีปัจจัยเชิงบวกเข้ามา และจากการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาตรการชั่วคราวมาใช้ตั้งแต่วันที่ 8-11 เมษายน ช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดทุนไทยได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ SET Index มีความผันผวนน้อยกว่าหลายตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค
หลังวันที่ 16 เมษายน SET Index ปรับเพิ่มขึ้น โดยจำนวนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกในแต่ละวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระจายไปในหลายอุตสาหกรรม ทำให้ Earning Yield Gap ระหว่างตลาดหุ้นเมื่อเทียบกับการฝากเงินลดลงจาก 4.1% เหลือ 3.9% ในปัจจุบันผลจากราคาหุ้นที่สูงขึ้น แต่ก็ยังน่าสนใจ ขณะที่ Valuation ของหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และความสามารถในการสร้างรายได้ยังดี ซึ่งไตรมาสแรกของปีนี้ผลิตสินค้าไม่ทัน ต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 2 ยังคงเร่งผลิตเพื่อการส่งออก คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1 และ 2 จะยังดีต่อเนื่องเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ จากการที่สหรัฐอเมริกาสามารถบรรลุข้อตกลงกับอังกฤษ ส่วนสหรัฐกับจีนมีการถอยคนละก้าว โดยจะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 30% จีนจะขึ้นภาษีสหรัฐฯ 10% โดยยืดออกไปอีก 90 วัน ทำให้สถานการณ์โลกเริ่มคลี่คลาย หากสหรัฐฯสามารถบรรลุข้อตกลงกับประเทศอื่นๆ ในลักษณะเดียวกันนี้ จะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไปต่อได้อีก
ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตลดลงมาที่ 2.8% ในปี 2568 และ 3.0% ในปี 2569 โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลัก จากเดิมที่แข็งค่า สวนทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่ปรับตัวขึ้นในกรอบ 4.0-4.5% ขณะที่ผู้ลงทุนเริ่มขายพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงดอกเบี้ยตามคาดที่อัตรา 4.25% ถึง 4.50% นับเป็นครั้งที่สามติดต่อกัน
ขณะที่ มีเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตรไทย โดยในเดือนเมษายน 2568 สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) รายงานว่ามีกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลเข้าสุทธิในตลาดพันธบัตรไทยแล้วประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่ามาจากความไม่เชื่อมั่นต่อดอลลาร์จากสงครามการค้า ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยที่น่าจะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้
ส่วนต้นเดือนพ.ค.นี้ ได้แรงสนับสนุนจากกองทุน Thai ESGX เข้ามา เริ่มเห็นนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ ซึ่งเป็นโอกาสของนักลงทุน เพราะมีเวลาเพียงช่วงเดือนพ.ค.กับเดือนม.ย.เท่านั้น ในการลงทุนในกองทุนดังกล่าวที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ทำให้ตลาดหุ้นมีความเสถียรเพิ่มขึ้น และดัชนียืนเหนือระดับ 1,200 จุด โดยปีนี้คาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยจะอยู่วันละ 4 หมื่นล้านบาท
สำหรับ ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนเมษายน 2568 ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 SET Index ปิดที่ 1,197.26 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่30 เมษายน 2568 ปรับลดลง 14.5%

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 39,410 ล้านบาท หรือลดลง 11.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 50.52% โดยมีสถานะป็นผู้ขายสุทธิ 14,588 ล้านบาท
มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. แอลทีเอ็มเอช (LTMH) และ บมจ. บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 11.5 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 15.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 11.4 เท่า
อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 4.00% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.40%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนเมษายน 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 433,408 สัญญา ลดลง 16.6% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 456,561 สัญญา ลดลง 5.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures
