ต่างชาติเมินหุ้นแบงก์ ทิ้งเหลือ “รูม” อื้อ GULF โผล่ถือ KBANK รับปันผล 120 ลบ.

HoonSmart.com>>ฟางเส้นสุดท้าย!! นักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้นธนาคารพาณิชย์ไทยกระจาย จนทำให้เพดานการถือครอง ซึ่งกำหนดไว้สูงสุดไม่เกิน 25-30% ของทุนเรียกชำระแล้ว กลับมีช่องว่างเหลืออยู่จำนวนมาก จากอดีตล้นมานานจนต้องมี NVDR มาช่วย นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นไทย ถือเป็นสัญญาณร้าย เพราะธุรกิจแบงก์มีพื้นฐานแกร่งและให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง เป็นที่ต้องการของต่างชาติที่ลงทุนระยะยาว จนต้องยอมจ่ายในราคาพรีเมี่ยมกว่าในกระดานหลัก

ปัจจุบันราคาหุ้นแบงก์ในกระดานต่างประเทศ (F)ใกล้เคียงหรือต่ำกว่ากระดานหลัก มีเพียงบางตัว เช่น บริษัท เอสซีบี เอกซ์ (SCB) วันที่ 22 เม.ย. 2567 ราคากระโดดขึ้น 36.50 บาทหรือ +34.43% ปิดที่ 142.50 บาท ขณะที่ราคาในกระดานหลัก SCB ปิดที่ 104.50 บาท บวก 1.50 บาทหรือ +1.46% และธนาคารทหารไทยธนชาต(TTB) ปิดที่  1.77  บาทต่ำกว่า TTB-F ที่ 1.82 บาท มีช่องว่างเหลืออยู 19,347.44

“นักลงทุนต่างชาติที่ถือ SCB ใน NVDR มีการโยกย้ายเปลี่ยนมาถือ SCB-F แทน เพื่อได้สิทธิเหนือกว่าในเรื่องการโหวตลงคะแนนเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น”

ราคาหุ้นแบงก์ที่ปรับตัวลงมามาก และให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง เป็นที่สนใจของนักลงทุนที่มี”เงินเย็น” โดยบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์(GULF) โผล่ถือหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) อันดับที่ 14 จำนวน 20,542,400 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน  0.87%ของทุนชำระแล้ว เฉพาะการรับเงินปันผลงวดครึ่งหลังของปี 2566 หุ้นละ 6 บาท ที่เพิ่งขึ้นเครื่องหมาย XD 22 เม.ย. รอรับเงินทั้งสิ้น 123.25 ล้านบาท ไม่นับเงินปันผลงวดแรกที่  0.50 บาท  เมื่อข่าว GULF เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในธนาคารกสิกรไทยแพร่สะพัด สนับสนุนให้ราคาหุ้น KBANK แกร่ง ปิดที่ 124 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผลฟรี

การเข้ามาถือหุ้น GULF  ในธนาคารกสิกรไทย ขยายโอกาสในการเพิ่มกำไรและเงินปันผลของ GULF จากที่ผ่านมาได้รับเงินปันผลก้อนใหญ่จากการถือหุ้นบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์(INTUCH) มากกว่า 40%  โดยรวมการลงทุนใน INTUCH และ KBANK ใช้เงินทั้งสิ้นกว่า 9 หมื่นล้านบาท

ขณะเดียวกันธนาคารกสิกรไทย ก็มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ไตรมาส 1/2567 มีกำไรสุทธิ  13,486 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 5.53 บาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25.55% หลังตั้งสำรองจำนวน 11,684 ล้านบาท มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 38,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.47%  NPL อยู่ที่ 3.19%

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ธนาคารฯมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้ จำนวน 29,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.93% จากการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ท่ามกลางความท้าทายของปัจจัยต่างๆในปีนี้ธนาคารกสิกรไทยได้วางยุทธศาสตร์ 3+1 โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการเติบโตด้านสินเชื่ออย่างมีคุณภาพภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม การขยายธุรกิจรายได้ค่าธรรมเนียม การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางการให้บริการ การแสวงหารายได้ใหม่ในระยะกลางและระยะยาว รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน หน่วยงานกำกับดูแล และสังคม ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน

ด้านตลาดหุ้นไทยวันที่ 22 เม.ย.67 ฟื้นตามตลาดต่างประเทศ ดัชนีปิดที่ระดับ 1,349.52 จุด เพิ่มขึ้น 17.44 จุด หรือ +1.31% มูลค่าซื้อขาย 43,079.01 ล้านบาท  เกิดจากนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,387.94 ล้านบาท ต่างชาติซื้อด้วย 372.42 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยขายสุทธิ 1,988.63 ล้านบาท  โดยมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ นำโดยธนาคารพาณิชย์รับกำไรไตรมาสแรกเติบโตดี

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย คลายกังวลสถานการณ์ตะวันออกกลางหลังไม่มีความรุนแรงมากขึ้น แม้มองว่าจะยังไม่จบโดยง่าย อีกทั้งผลประกอบการของกลุ่มธนาคารไตรมาส 1/67 ก็ออกมาดีทำให้ช่วยหนุนตลาดได้ แต่ยังต้องติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของกลุ่ม Non-Bank ต่อไป ทำให้ช่วงนี้ตลาดอาจเป็นลักษณะ Wait & See เพื่อรอดูงบฯ

“ดัชนีฯยังไม่ผ่าน 1,350 จุด ทำให้ตลาดอาจเป็นแค่รีบาวด์เพื่อลงต่อ และปลายตลาดอาจมีแรงขายออกมา”นายถนอมศักดิ์ กล่าว

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.) ตลาดคงจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ ให้แนวรับ 1,340-1,330 จุด แนวต้าน 1,350 ถัดไป 1,360-1,365 จุด