บล.กสิกรฯคาด SET แกว่งแคบ 1,355-1,385 สัปดาห์หน้าลุ้นเฟดส่งซิกลดดอก

HoonSmart.com>>บล.กสิกรไทยให้แนวรับที่ 1,355 และ 1,345 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,375 และ 1,385 จุด รอถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่เฟด ฟันด์โฟลด์ กำไรบจ.ไตรมาส 1/67  ด้านค่าเงิน ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบเคลื่อนไหวที่  36.50-37.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยมองหุ้นสัปดาห์ถัดไป (6-10 พ.ค.2567) ว่า ดัชนีหุ้นมีแนวรับที่ 1,355 และ 1,345 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,375 และ 1,385 จุด ตามลำดับ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และผลประกอบการไตรมาส 1/2567 ของบจ.ไทย

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค. (เบื้องต้น) รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนเม.ย.ของจีน ญี่ปุ่นและยูโรโซน การประชุม BOE และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2567 ของอังกฤษ ตลอดจนตัวเลขส่งออกเดือนเม.ย.ของจีน

ในวันศุกร์ที่ 3 พ.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,369.92 จุด เพิ่มขึ้น 0.73% จากปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 41,955.64 ล้านบาท ลดลง 0.11%  ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.45% มาปิดที่ระดับ 389.46 จุด

ภาพรวมตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน แม้ในช่วงแรกกรอบการปรับขึ้นของ SET Index จะเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากมีปัจจัยกดดันจากตัวเลขส่งออกเดือนมี.ค.ที่หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน การปรับประมาณการจีดีพีไทยปีนี้ลงมาที่ 2.4% โดยกระทรวงการคลัง และแรงขายหุ้นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่ง แต่หุ้นดีดตัวขึ้นชัดเจนในเวลาต่อมาท่ามกลางแรงซื้อคืนหุ้นหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มจากการคาดการณ์เรื่องผลประกอบการ ประกอบกับมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากทิศทางหุ้นภูมิภาคในช่วงปลายสัปดาห์หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวลงต่อเนื่องจากช่วงหลังผลการประชุมเฟด

ทั้งนี้หุ้นย่อตัวลงสั้นๆ ช่วงกลางสัปดาห์ หลังวันหยุดแรงงาน ตามแรงขายของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับมีแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลง

ส่วนค่าเงินบาทสัปดาห์ถัดไป (6-10 พ.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 36.50-37.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณการเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดการอ่อนค่าของเงินเยนของทางการญี่ปุ่น ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งจะมีผลกระทบต่อทิศทางเงินทุนต่างชาติ การเคลื่อนไหวของค่าเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก

สัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทแข็งค่าหลุดแนว 37.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังผลการประชุมเฟด และสัญญาณการเข้าแทรกแซงสกัดการอ่อนค่าของเงินเยนจากทางการญี่ปุ่น

เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย นำโดย เงินเยนซึ่งอ่อนค่าทะลุแนว 160.00 ไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 34 ปี ที่ 160.17 เยนต่อดอลลาร์ฯ ท่ามกลางแรงกดดันต่อเนื่องหลังการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รอบที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีเงินบาททยอยฟื้นตัวแข็งค่ากลับมาตามทิศทางเงินเยนที่พลิกแข็งค่าขึ้นอย่างมาก ขณะที่ตลาดมีความกังวลต่อสัญญาณการเข้าดูแลค่าเงินเยน หลังมีข้อมูลอย่างเป็นทางการเปิดเผยออกมาว่า ทางการญี่ปุ่นได้เข้าแทรกแซงตลาดในสัปดาห์นี้เพื่อพยุงค่าเงินเยน (ด้วยการเข้าซื้อเงินเยนและขายเงินดอลลาร์ฯ) หลังจากที่เงินเยนอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังขาดแรงหนุนหลังผลการประชุมเฟด (30 เม.ย.-1 พ.ค.) ที่แม้จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่กรอบ 5.25-5.50% ตามเดิม แต่ก็มีการประกาศรายละเอียดของกระบวนการชะลอการลดงบดุล ซึ่งกดดันบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ให้ปรับตัวลง ประกอบกับถ้อยแถลงของประธานเฟดยังคงย้ำถึงการรอจังหวะลดดอกเบี้ยเมื่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ กลับลงไปอยู่ในระดับที่เฟดสบายใจ และปฏิเสธโอกาสการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งเป็นท่าทีที่แข็งกร้าว (Hawkish tone) น้อยกว่าที่ตลาดคาด

ในวันศุกร์ที่ 3 พ.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 36.78 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 36.96 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (26 เม.ย. 67)

สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 29 เม.ย.-3 พ.ค. 2567 นั้นขายสุทธิหุ้นไทย 2,170 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 7,145 ล้านบาท (ซื้อพันธบัตรไทยสุทธิ 8,395 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 1,250 ล้านบาท)