RBF ทุ่ม 500 ลบ. ซื้อหุ้นคืน 100 ล้านหุ้น เริ่ม 2 มิ.ย.-28 พ.ย.นี้

HoonSmart.com>>บอร์ด “อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย” (RBF) เคาะวงเงิน 500 ล้านบาท เปิดโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ผ่านตลาดหลักทรัพย์ไม่เกิน 100 ล้านหุ้น ไม่เกิน 5% เริ่ม 2 มิ.ย.-28 พ.ย.68 พร้อมจัดตั้งบริษัทย่อยในรัสเซีบ รองรับการขยายธุรกิจในรูปแบบซื้อมาขายไป ด้านงบไตรมาส 1/68 กำไรสุทธิลดลง 39% ยอดขายร่วง

บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) เปิดเผยมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินของบริษัท โดยมีวงเงินสูงสุดที่ใช้ในการซื้อหุ้นคืน ไม่เกิน 500 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน ไม่เกิน 100 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 5% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยซื้อหุ้นคืนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย.2568 ถึงวันที่ 28 พ.ย.2568

สำหรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาหุ้นที่จะซื้อคืน โดยให้นำราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันก่อนวันที่บริษัทจะทำการเปิดเผยข้อมูลมาประกอบการพิจารณากำหนดราคาหุ้นด้วยราคาหุ้นที่จะซื้อคืนจะไม่เกินกว่า 115% ของราคาปิดเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้าวันที่ทำรายการซื้อหุ้นคืน

ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ราคาปิดของหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค.2568 ถึง วันที่ 8 พ.ค.2568 เท่ากับ 4.31บาท ต่อหุ้น (ราคาปิดถัวเฉลี่ย 30 วันทำการย้อนหลัง)

คณะกรรมการบริษัทฯ ยังมีมติอนุมัติการลงทุนในประเทศรัสเซีย จัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ CANWILLON LLC. ทุนจดทะเบียน 1.5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ดำเนินธุรกิจอาหาร เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของบริษัทในรูปแบบการดำเนินธุรกิจประเภทซื้อมาขายไป (Trading Business) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างตกลงกับผู้ร่วมทุนตามกฎหมายของประเทศรัสเซีย คาดว่าจะจัดตั้งภายในเดือนธ.ค.2568 เริ่มมีรายได้เชิงพาณิชย์ภายใน 3 เดือน หลังจากจัดตั้ง

ด้านผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 105.72 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.05 บาท ลดลง 38.46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 171.78 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.09 บาท ขณะที่งบรวมบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 104.44 ล้านบาท ลดลง 39.15% จากข่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 171.62 ล้านบาท

บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการ 1,050.27 ล้านบาท ลดลง 116.24 ล้านบาท หรือ -9.96% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2567 โดยยอดขายในประเทศลดลง 66.05 ล้านบาท หรือ -7.43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับของปีที่แล้ว โดยปัจจัยหลักมาจากการสั่งซื้อที่ลดลงของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหญ่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซื้อมาขายไปประเภทปลอกไส้กรอก การชะลอตัวทางการตลาดของลูกค้ากลุ่มเครื่องดื่มตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลดตัว อีกท้้งการแข็งค่าของค่าเงินบาท ส่งผลให้ลูกค้าในประเทศที่เป็นผู้ส่งออกมีการส่งออกลดลง

ยอดขายต่างประเทศลดลง 50.18 ล้านบาท หรือ -18.06% ปัจจัยหลักมาจากการชะลอตัวของยอดขายในประเทศจีน ซึ่งเป็นผลจากการปรับลดคำสั่งซื้อของลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมวัตถุแต่งกลิ่นรสและสีผสมอาหาร ส่งผลให้ยอดขายในตลาดจีนหดตัวลง

อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์เชิงรุกในการขยายตลาดไปยังภูมิภาคเอเชีย และเพิ่มความหลากหลายให้กับช่องทางการจำหน่าย ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

 
 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–