BBL แกร่ง Q1/67 โกยกำไร 1.05 หมื่นลบ.เจพีมอร์แกนอัพเกรดรพ.-ไอที

HoonSmart.com>>ธนาคารกรุงเทพ (BBL) โตแข็งแกร่ง ไตรมาส 1/67 โกยกำไร 10,524 ล้านบาท เร่งขึ้น 18.7%เทียบไตรมาส 4/66 เพิ่มขึ้น 3.9% จากปีก่อน กวาดรายได้เงินลงทุน ค่าธรรมเนียมธุรกิจประกัน-กองทุนรวม ด้านค่าใช้จ่ายลดลง หนุน ROA-ROE ตั้งสำรองเพิ่มเป็น 8,582 ล้านบาท ด้านหุ้นไทยร่วงเฉียด 18 จุด ตื่นเจพีฯหั่นเป้าปีนี้ลงพรวด 200 จุดเหลือ  1,500  เพิ่มโรงพยาบาล-สื่อสาร ชูหุ้นเด่น AOT,BH,BDMS,PTTEP, TOP HMPRO รมช.คลังยอมรับกังวลหุ้น-ค่าบาทอ่อนหนัก

ธนาคารกรุงเทพ (BBL) รายงานผลงานไตรมาส 1/2567 กำไรสุทธิ 10,524 ล้านบาท  กำไรหุ้นละ 5.51  บาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากไตรมาส 4 ปีก่อน และกำไรเพิ่มขึ้น 3.9% จากไตรมาส 1/2566

กำไรที่ดีขึ้น แม้มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ  33,422 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาส 4 ที่ผ่านมา เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินรับฝากเพิ่มขึ้นตามการทยอยปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินรับฝากเมื่อครบกำหนด ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.06% ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 17.5% เป็น 8,260 ล้านบาท จากรายได้จากการลงทุน ประกอบกับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจากบริการประกันผ่านธนาคารและกองทุนรวมเติบโตดีจากไตรมาสก่อน

สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลง 16.9% เหลือจำนวน 19,618 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่  47.1% เทียบกับสัดส่วน  56.0% ของไตรมาส 4/2566 ธนาคารพิจารณาตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 8,582 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.9% เทียบกับไตรมาส 4 ที่ผ่านมา และ 1.3% จากไตรมาส 1/2566 ที่  8,474 ล้านบาท ภายใต้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า

ณ สิ้นเดือนมี.ค.2567 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,736,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  2.4% จากสิ้นปีก่อน มาจากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และสินเชื่อลูกค้ากิจการต่างประเทศ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ที่ 3.0% ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วน
ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่  291.7%

ด้านเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนมี.ค. 2567 จำนวน 3,198,332 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 85.6% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่  19.7% 16.3% และ 15.6%ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

ธนาคารกรุงเทพยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ในไตรมาสแรกของปี 2567 เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคบริการตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนอันเป็นผลมาจากนโยบายการยกเลิกวีซ่า อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกของไทยยังคงชะลอตัวตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่อ่อนตัวลง การใช้จ่ายภาครัฐที่ยังหดตัว ทั้งในด้านรายจ่ายลงทุนและรายจ่ายประจำของรัฐบาลกลาง จากการที่งบประมาณประจำปี 2567 ยังคงไม่แล้วเสร็จ

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ผลกระทบจากธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อและเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวชะลอลงจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์และความขัดแย้งทางการค้าและเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ ตลอดจนปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน ความขัดแย้งทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์โลกรวมถึงความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากบริบทโลกที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล การเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎเกณฑ์ของทางการ และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ที่กระทบการดำเนินธุรกิจ ธนาคารกรุงเทพในฐานะ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” ยังคงมุ่งเน้นให้คำแนะนำเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินธุรกิจ โดยส่งเสริมการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนการสร้างพันธมิตรในระบบนิเวศทางธุรกิจ และการลงทุนใหม่ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ธนาคารพร้อมสนับสนุนลูกค้าให้ได้ประโยชน์จากโอกาสในการขยายกิจการไปยังต่างประเทศเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ด้านตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวลงต่อ จากวันก่อนดิ่งลึก 30 จุดหรือกว่า 2% วันที่ 18 เม.ย. ระหว่างวันร่วงต่ำสุดเฉียด 18  จุด ได้หุ้น DELTA ช่วยดันให้ตลาดฟื้นขึ้นเร็ว ดัชนีปิดที่  1,361.02 จุด ลดลง 5.92 จุด หรือ -0.43% มูลค่าซื้อขาย 53,907.55 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายเพียง  340.60 ล้านบาท ขณะที่บัญชีหลักทรัพย์ขาย  1,790.74 บาท ด้านนักลงทุนไทยซื้อ 2,440 ล้านบาท

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้นที่ปรับตัวลง คาดว่าจะยังรับแรงขายจากนักลงงทุนต่างชาติ หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) สหรัฐทะลุ 4.35% ขึ้นมา  ทำให้ตลาดหุ้นโลกปรับฐานกันเป็นส่วนใหญ่ และราคาน้ำมันปรับขึ้นแรง ส่งผลกระทบต่อ 2 ประเทศคือ ไทย และฟิลิปปินส์  มีผลต่อ GDP และเงินเฟ้อที่จะมี Upside ขึ้น ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ต่างมองดูไม่ดี รวมทั้งมีโบรกเกอร์ต่างประเทศแห่งหนึ่งได้ปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้ลงจาก 1,700 เหลือ 1,500 จุด รวมถึงมุมมองการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจเลื่อนไปช่วงครึ่งหลังปี 2567 หรือต้นปี 2568

เจพีมอร์แกน ออกบทวิเคราะห์ Thailand Equity Strategy  ได้อัพเกรดหุ้นโรงพยาบาลและ สื่อสาร ปรับเป้าหมายจาก“ถือ” เป็น“ซื้อ” และกลุ่มไอที จาก “ขาย” เป็น“ซื้อ” โดยหุ้นTOP PICK ได้แก่ หุ้น AOT,BH,BDMS,PTTEP, TOP HMPRO

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวยอมรับว่ามีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เงินบาทที่อ่อนค่าลงมาก โดยเข้าใจว่าส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ว่าจะส่งผลกระทบกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยหรือไม่

“เรื่องหุ้นและค่าบาทที่ผันผวนนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะมีประเด็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศเกิดขึ้นตอนนี้ ” นายจุลพันธ์ กล่าว