ความจริงความคิด : 10 กฎทองสู่ความมั่งคั่งของมนุษย์เงินเดือน ตอน 2

โดย..สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน

ครั้งที่แล้ว จบไป 2 กฎ บางคนอาจคิดว่าเป็นหลักการพื้นๆ จริงๆแล้ว ในชีวิตจริงไม่มีหรอกนะ คัมภีร์วิเศษแบบเรียนแป๊บเดียวเป็นจ้าววิทยายุทธแบบหนังจีน หลักการพื้นฐานเพื่อความรวยไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ทำไมถึงมีน้อยคนที่ประสบความสำเร็จ เหตุผล ก็คือ

เพราะเป็นหลักการง่ายๆ หลายคนก็เลย “รู้แล้ว” และไม่สนใจต่อ แล้วมุ่งหาสูตรวิเศษต่อไป
เพราะ “รู้แล้ว” แต่ “ไม่ทำ” หรือ “ทำแต่ไม่ทำจริง ทำนานพอ” ทำนอง “ธรรมใดๆก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ”

ว่าแล้ว เรามาต่อกฎข้อที่ 3 กันเลยดีกว่า
3. มีเงินสำรองฉุกเฉิน

ชีวิตจะเสี่ยงมากขึ้น หากรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ในยุคปัจจุบัน ความเสี่ยงเรื่องรายได้ของมนุษย์เงินเดือนสูงกว่าอดีตมาก ไม่ว่าจะเป็นการถูกเลิกจ้าง บริษัทเลิกกิจการ ป่วย หรือ เกิดอุบัติเหตุ ฯลฯ ทำให้ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ รายได้หยุด แต่รายจ่ายไม่ได้หยุด หรือ แม้ว่ารายได้จะมั่นคง แต่ก็อาจมีบางครั้งที่รายจ่ายมากกว่ารายได้อย่างไม่คาดคิด อย่างเช่น บ้านที่เราอยู่ รถที่เราใช้ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เรามี เกิดเสียหายกระทัน หรือ อยู่ดีๆ เราเองหรือคนในบ้านเจ็บไข้ได้ป่วย ฯลฯ เหตุการณ์ไม่คาดฝันเหล่านี้มาพร้อมค่าใช้จ่ายที่สูง หากเราไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน เราอาจต้องขายทรัพย์สินที่จำเป็น หรือ ทรัพย์สินการลงทุนในจังหวะที่ไม่เหมาะสมเพื่อเอาเงินมาใช้จ่าย

เงินสำรองฉุกเฉิน คือ เงินที่สามารถถอนมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว และมูลค่าไม่ควรผันผวนตามภาวะตลาด ที่เรียกกันว่า “สินทรัพย์สภาพคล่อง” อย่างเช่น เงินฝากออมทรัพย์ กองทุนตลาดเงิน ฯลฯ ข้อเสียสินทรัพย์สภาพคล่อง คือ ผลตอบแทนต่ำมาก ดังนั้น การเก็บเงินไว้ในสินทรัพย์สภาพคล่องมากไปก็ไม่ดี ทำให้เงินออมเราไม่เติบโต มีน้อยไปก็ไม่ดี เพราะอาจไม่เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น

เงินสำรองฉุกเฉินที่เหมาะสม คือ ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 3–6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน แต่หากในภาวะความไม่แน่นอนสูง เช่น เศรษฐกิจไม่ดี ฯลฯ ก็ควรเพิ่มเงินสำรองเป็น 6-12 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน

 

4. กฎบริหารเงิน 50, 30, 20

คือ การจัดสรรแบ่งรายได้หลังภาษีให้ลงตัวแบบง่ายๆ เพื่อความสมดุลของชีวิต คือ มีความสุขในปัจจุบัน มีความมั่นคงทางการเงินในอนาคต

• 50%: ค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัย ค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเดินทาง ฯลฯ
• 30%: ค่าใช้จ่ายในการให้รางวัลตัวเอง โดยใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการ (แม้ว่าไม่จำเป็น) เช่น ค่าความบันเทิง การท่องเที่ยว การซื้อของที่อยากได้ ฯลฯ
• 20%: สำหรับการออมและลงทุน เพื่อเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน หรือเพื่อเป้าหมายในอนาคต เช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถ เกษียณอายุ ฯลฯ

ข้อดีของการบริหารเงินตามกฎนี้ คือ ทำให้การบริหารจัดการเงินไม่ได้เป็นเรื่องที่เครียดจนเกินไป ทำให้เราสามารถมีวินัยในการบริหารเงินได้ตามแผนที่วางไว้

5. ลงทุนเพื่อเงินงอกเงย
เพราะเงินเฟ้อ คือ มะเร็งของเงิน ทำให้เงินด้อยค่าทุกวินาที เพื่อให้มูลค่าของเงินออมเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ผลตอบแทนของเงินออมต้องมากกว่าเงินเฟ้อ การลงทุน คือ คำตอบ
การลงทุน คือ การที่เรายอมไม่ใช่เงินในวันนี้ เพื่อผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนที่ดีควรบรรลุเป้าหมาย มั่งคั่ง และมั่นคง

มั่งคั่ง คือ ให้ผลตอบแทนตามที่คาดหวังเพื่อเป้าหมายการเงินในอนาคต
มั่นคง คือ การบริหารความเสี่ยงให้เงินออมสามารถผ่านพ้นความเสี่ยงต่างๆไปได้โดยกระทบเงินออมให้น้อยที่สุด

 

พีระมิดการลงทุน กฎการลงทุนเพื่อความมั่งคั่งและมั่นคง

“พีระมิดการลงทุน (Investment pyramid)” เป็นแนวทางการจัดสรรเงินลงทุนแบบหนึ่ง โดยจะให้น้ำหนักสินทรัพย์ที่มี “ความเสี่ยงต่ำ” มากกว่าสินทรัพย์ที่มี “ความเสี่ยงสูง” พูดง่าย ๆ คือ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเงินลงทุน (Capital Protection) แต่ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงโอกาสในการทำกำไร (Capital Appreciation) ด้วย
บางที่ก็กำหนดสูตรสำเร็จเป็นกฎ 10, 50, 30 คือ

10% ลงทุนในหุ้น/กองทุน
50% ลงทุนในตราสารหนี้/เงินฝากประจำ
40% ลงทุนในบัญชีออมทรัพย์

สำหรับการลงทุนในหุ้น และ ตราสารหนี้ ควรลงทุนผ่านกองทุนรวม และเลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายกระจายการลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้หลายประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง และควรทยอยลงทุนตามแนวทาง DCA คือ Dollar Cost Average เพื่อกระจายความเสี่ยงเกี่ยวกับจังหวะของการลงทุน

 

กฎ 100 ลบอายุ

กฎ 100 ลบอายุ ซึ่งมักเรียกกันว่ากฎ 100 เป็นแนวทางการลงทุนที่ช่วยให้ ผู้ออมสามารถจัดสรรสินทรัพย์ระหว่างหุ้นและพันธบัตรอย่างมีประสิทธิภาพ ตามกฎนี้ นักลงทุนจะลบอายุของตนเองออกจาก 100 เพื่อคำนวณสัดส่วนของพอร์ตโฟลิโอที่ควรลงทุนในหุ้น โดยส่วนที่เหลือจะจัดสรรให้กับพันธบัตรและเงินสด แนวทางนี้สะท้อนถึงแนวคิดที่ว่าความสามารถในการรับความเสี่ยงจะลดลงตามอายุ ส่งผลให้ผู้ลงทุนหันไปลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยสัดส่วนการลงทุนในหุ้น จะเท่ากับ 100 – อายุ = สัดส่วนการลงทุนในหุ้น

ตัวอย่างเช่น
อายุ 30 = 100 – 30 = 70 สัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่เหมาะสม คือ 70%, ที่เหลือ 30% คือสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้
อายุ 60 = 100 – 60 = 40 สัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่เหมาะสม คือ 40%, ที่เหลือ 60% คือสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้
#จัดพอร์ตตามวัย #ลงทุนอย่างฉลาด

———————————————————————————————————————————————————–

<strong>อ่านบทความอื่นๆ

ความจริงความคิด : 10 กฎทองสู่ความมั่งคั่งของมนุษย์เงินเดือน ตอน 1

———————————————————————————————————————————————————–