3 โบรกฯส่องหุ้นพ.ค. แกว่งขึ้น ลุ้น 1250 แนวรับต่ำสุด 1080  

HoonSmart.com>> 3 โบรกเกอร์ส่องหุ้นเดือนพ.ค.แกว่งขึ้น แต่ระหว่างทางอาจผันผวนเจอการเมืองที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ไม่เผชิญกับ Sell in May  แรงหนุนจากมาตรการรัฐฯ ทั้งเงินดิจิทัล เฟส 3, เม็ดเงินกองทุน TESGX, โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง บล.ลิเบอเรเตอร์ให้แนวรับ 1,150-1,120 ส่วนแนวต้าน 1,250  บล.ฟิลลิป ชี้แนวรับ 1,150-1,140  แนวต้าน 1,200-1,210  บล.ยูโอบีฯมอง 1,150 แนวต้าน 1,200 เชียร์ CPALL, SCGP, CCET, GULF, PTTEP, DELTA, TFG, WHA, KTB

ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET) ของเดือนเม.ย. 2568 นับเป็นเดือนแรกของปี ที่ปิดสูงกว่าเดือนก่อน ที่ระดับ 1,197.26 จุด เพิ่มขึ้น 39.17 จุด หรือ +3.38% จากเดือนมี.ค.ที่ปิด 1,158.09 จุด แม้ว่านักลงทุน 3 กลุ่มขายสุทธิ นำโดยต่างชาติทิ้งจำนวน  14,723.70 ล้านบาท สถาบันขายด้วย  4,866.05 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 773.28 บาท สวนทางนักลงทุนไทยซื้อมากถึง 20,363.03 ล้านบาท

ทั้งนี้รวม 4 เดือนของปีนี้ นักลงทุนต่างชาติขายทั้งสิ้น 54,590.94 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขาย 10,799.60 บาท สถาบันขายสุทธิ 10,021.61 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยซื้อสุทธิ 75,412.15 ล้านบาท

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นในเดือนพ.ค.คาดว่าจะแกว่งตัวขึ้นได้ จากพัฒนาการเชิงบวกการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ทำให้สัญญาณสงครามการค้าน่าจะดีขึ้น และงบฯของบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศก็ไม่ได้แย่ ส่วนในประเทศงบฯออกมามองเป็นกลาง แม้เศรษฐกิจไทยจะ Downside ชัดเจน แต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว 0.25% วันที่ 30 เม.ย.2568 และตลาดตอบรับประเด็นนี้ไปบ้างแล้ว

นอกจากนี้ คาดหวังการเจรจาด้านภาษีของไทยกับสหรัฐฯจะมีความชัดเจนขึ้นในเดือนพ.ค.นี้ หากยังจบไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็เป็นการพูดคุยกับสหรัฐฯให้ชัดขึ้น รวมถึงเดือนพ.ค.จะเริ่มขายกองทุน TESGX ซึ่งเป็นบวกต่อตลาดเล็กน้อย จากมีเงินใหม่เข้ามาด้วย แม้จะไม่มากแต่ช่วยกระตุกได้บ้าง เพราะครั้งนี้จะต้องลงทุนหุ้นไทยราว 65% พร้อมมองสัญญาณหุ้นขนาดใหญ่ยังไม่แพง มีแรงซื้อกลับได้บ้าง โดยรวมแล้วหุ้นไทยน่าจะพื้นได้ ส่วนปัจจัยการเมืองเป็นความเสี่ยง จากที่เห็นความแตกแยกชัดเจน แต่หุ้นตอบรับปัจจัยลบไปมากแล้ว จึงมองกรอบดัชนีฯเดือนพ.ค.มีแนวรับ 1,150-1,120 จุด ส่วนแนวต้าน 1,250 จุด

พร้อมชู 4 หุ้นเด่นในเดือนพ.ค.เป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ในโซนล่าง และจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นมา โดยหุ้นที่ยัง Laggard อยู่ในกลุ่มค้าปลีกเป็นหุ้น CPALL ราคาเป้าหมาย 65 บาท, หุ้น SCGP ราคาเป้าหมาย 17 บาท กำไรไตรมาส 1/2568 ดีกว่าคาด แนวโน้มไตรมาส 2 จากประเด็นสงครามการค้าทำให้เร่งส่งสินค้ามากขึ้น จึงมีการใช้แพคเกจจิ้งมากขึ้น ผลงานไตรมาส 2 น่าจะไปได้ต่อ, ในช่วงครึ่งปีแรกการส่งออกยังดีอยู่ จึงแนะนำหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อย่างหุ้น CCET ราคาเป้าหมาย 9 บาท และหุ้น GULF ราคาเป้าหมาย 60 บาท กำไรไตรมาส 1/2568 เด่น โรงไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็น IPP จึงรับผลกระทบน้อยจากการลดค่าไฟฟ้าของภาครัฐฯ อีกทั้ง GULF ไม่ได้ทำธุรกิจโรงไฟฟ้าอย่างเดียว ยังมีธุรกิจอื่นด้วย อย่างไปทำธุรกิจ Data Center เป็นต้น ทำให้มองว่า GULF อยู่ในโซนที่จะฟื้นตัวขึ้น

ในเดือนพ.ค.ปัจจัยที่จะต้องติดตามยังเป็นการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในประเทศ, GDP ไตรมาส 1/2568 ของไทยที่สภาพัฒน์จะประกาศออกมา, การเจรจาการค้าของสหรัฐฯซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะต้องติดตาม, การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 7 พ.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน เพื่อรอดูการเจรจาภาษีฯก่อน และคาดว่าจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเฟดกลางเดือนมิ.ย. รวมถึงติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศ

น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปกติเดือนพ.ค.จะเป็น Sell in May แต่พ.ค.ปีนี้คาดว่าตลาดจะแกว่งไซด์เวย์ มีลุ้นเด้งขึ้นได้ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งเกณฑ์ LTV ที่เริ่มในพ.ค.นี้, โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง, เงินดิจิทัล เฟส 3 รวมถึงคาดหวังเม็ดเงินลงทุนใหม่จากกองทุน TESGX ซึ่งจะมาช่วยประคอง Downside และอาจช่วยให้ฟื้นตัวได้บ้าง

นอกจากนี้ แบงก์ชาติได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% และยังปรับลดประมาณการ GDP ปีนี้ลงเหลือเติบโต 2% กรณี Best Case ถือว่าดีกว่าหลายสำนักที่คาดการณ์กันไว้ ส่วนกรณีเลวร้ายมองไว้โต 1.3% ผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ พร้อมให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ในวันที่ 7 พ.ค.นี้ และติดตาม GDP จากสภาพัฒน์ รวมถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ อีกทั้งหลังสิ้นสุดประกาศงบฯไตรมาส 1 แล้วจะต้องติดตามการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนต่อไป และยังต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศด้วย

“ระหว่างทางในเดือนพ.ค.ดัชนีฯอาจผันผวน แต่คิดว่าเป็นจังหวะซื้อในการปรับตัวลงแต่ไม่น่าแรง โดยเดือนพ.ค.นี้มีลุ้นทดสอบ 1,200-1,210 จุด ส่วนแนวรับ 1,150-1,140 จุด”

หุ้นที่น่าสนใจลงทุนในเดือนพ.ค.มองเป็นหุ้น DELTA ราคาเป้าหมาย 94 บาท งบไตรมาส 1/68 ดีกว่าคาด และยังมีการเร่งส่งออกสินค้าก่อนเผชิญกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ, GULF ราคาเป้าหมาย 60 บาท เล็งเป็นเป้าซื้อของกองทุน TESGX และไตรมาส 2/2568 จะมี COD โรงไฟฟ้าเพิ่ม, TFG ราคาเป้าหมายตาม Consensus ให้ไว้ 5.60 บาท รับผลดีจากราคาหมู-ไก่ขึ้น โดยเฉพาะราคาหมูที่ขึ้นไปมาก ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง หนุนมาร์จิ้นดีขึ้น และ WHA ราคาเป้าหมาย 4.26 บาท เล็งยอดขายที่ดินเพิ่มขึ้น และได้ประโยชน์หากสงครามการค้าผ่อนคลายลง รวมถึง KTB ราคาเป้าหมาย 22.50 บาท ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐฯ ซึ่งได้มีการเร่งเบิกจ่ายมากขึ้น

นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นไทยในเดือนพ.ค.มีโอกาสที่จะผันผวน จากปัจจัยการเมืองอาจจะมีน้ำหนักมากขึ้น จากกระแสปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทำให้ดัชนีฯมีโอกาสแกว่งลงไปหาฐาน 1,150 จุด บวก/ลบ และแนวจิตวิทยาที่ไม่ควรหลุด 1,100 จุด หากหลุดจะลงไปแต่ไม่น่าจะต่ำกว่า 1,080 จุด ส่วนด้านบนมองไว้ที่ 1,200 จุด

ทั้งนี้ หลังผ่านสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค.ไปแล้ว หุ้นในกลุ่มพลังงานจะมีความน่าสนใจมากขึ้น คาดราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวขึ้นหลังปรับลดประมาณการความต้องการน้ำมัน ทำให้คลาย Overhang ท่ามกลางอุปทาน (Supply) น้ำมันที่ยังมีอยู่มาก แต่ราคาน้ำมันลงลึกไปแล้วจึงมีโอกาสเด้งขึ้นมา พร้อมแนะนำหุ้น PTTEP เก็งราคาน้ำมันฟื้น และราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว

———————————————————————————————————————————————————–