นักวิเคราะห์-กองทุน ลั่นหุ้นไทยปีนี้มาแน่ 6 ปัจจัยหนุนดัชนีวิ่งแตะ 1,535 จุด

HoonSmart.com>>นักวิเคราะห์-ผู้จัดการกองทุน มั่นใจหุ้นไทยปีนี้มาแน่ ให้เป้าสิ้นปี 1,535 จุด หลังสหรัฐฯ-ธปท.ลดอัตราดอกเบี้ย งบฯรัฐทะลักเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจ กำไรบจ.เด่น Fund Flows เข้า เศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ฟื้น บล.โกลเบล็กชอบ AOT-CK-CPALL-MINT   บล.ทรีนีตี้ แจกคู่มือลงทุนไตรมาส 2 คัด 5 ธีม 10 หุ้น  AOT, AWC, BH, BJC, STEC ,GLOBAL, STGT, XO, IVL ,SCGP ส่วนเมษาหน้าร้อนแนะ ICHI, SAPPE

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 24 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 2 -4 ของปี 2567 มองราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้อยู่ที่ 82.36 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2567 ลดลงมาเหลือ 2.80% จากผลสำรวจเมื่อเดือนม.ค.2567 อยู่ที่ 3.33% โดย Risk Free Rate หรือ อัตราดอกเบี้ยที่ไร้ความเสี่ยงเฉลี่ยอยู่ที่ 2.71% เป็นระดับที่ใกล้เคียงอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาว 15 ปี และมอง Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 8.13%

สำหรับ ปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 2567 มีผู้ตอบแบบสำรวจ 83.33% มองว่าปัจจัยบวกที่มีผลต่อดัชนีราคาหุ้นในปีนี้มากที่สุด คือทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา และเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่ 70.83% มองว่ามาจากผลประกอบการ อีก 66.67% มองว่าเกิดจาก Fund Flows จากต่างประเทศไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย และปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอชีย

 

ส่วนปัจจัยด้านลบ 62.50% มองว่ามาจากปัจจัยด้านการเมืองต่างประเทศเป็นหลัก 41.67%  จากปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ ตามด้วยการลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมราณ(QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก

“คาดว่าดัชนีช่วงไตรมาส 2 นี้มีแนวโน้มแกว่งตัวในทิศทางบวก โดยมีแนวต้านที่ 1,447 จุด จากปัจจุบันอยู่แถวๆ 1,380 จุด และมองตลอดปีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,329 ถึง 1,548 จุด ปิดสิ้นปีที่ 1,535 จุด แนวรับอยู่ที่ 1,329 จุด โดยคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยที่ 92.92 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 95.62 บาทต่อหุ้น คาดว่า EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ 14.31%”นายสมบัติ กล่าว

 

นายสมบัติ คาดว่า Fund Flows จะเข้ามาหลังจากปัจจัยภายในประเทศมีความชัดเจน โดยในเดือนเม.ย.นี้ จะเห็นความชัดเจนเรื่องเงินดิจิทัล และเรื่องที่่ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากความเห็นของคณะกรรมการกนง.เริ่มแตกออกมา 1 เสียง ซึ่งถ้าไม่ลดในรอบการประชุมเดือนเม.ย.นี้ ก็รอรอบเดือนมิ.ย. และในเดือนพ.ค.นี้ สมาชิกวุฒิสภาฯหรือ สว.ก็จะหมดอายุลง ต้องรอดูความชัดเจนของโครงสร้างทางการเมืองด้วย ในไตรมาส 2 นี้ตลาดหุ้นไทยจึงยังทรงๆ ตัว แต่จะเห็นการกลับมาชัดเจนในไตรมาส 3 และ 4 เพราะปีนี้จะได้งบประมาณถึง 2 ปีเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ

ด้าน น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก คาดว่า จะเห็นภาพของเงินทุนไหลเข้ามาชัดเจนในช่วงไตรมาส 3  จุดสังเกตุคือเมื่อไหร่ที่เงินบาทแข็งค่าแสดงว่าเงินทุนเริ่มไหลเข้า แต่ในปัจจุบันสหรัฐอเมริกายังไม่ได้ลดอัตราดอกเบี้ยลง ค่าเงินดอลลาร์ยังแข็งอยู่ ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. ขณะเดียวกันเงินลงทุนโดยตรงก็ยังไม่เข้ามา โดยสะท้อนผ่านยอดขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงการขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ ก็ยังไม่ได้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนได้แนะนำ 4 หุ้นเด่น ประกอบด้วย AOT ที่ได้อานิสงส์จากท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดปีนี้มีนักท่องเที่ยว 34.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 22.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีมาตรการรัฐ ฟรีวีซ่า หนุนนักท่องเที่ยว ซึ่ง AOT คาดผู้โดยสารในปีนี้เพิ่มขึ้น 20% เป็น 120 ล้านคน และไม่มีมาตรการให้ส่วนลดผู้ประกอบการ คาดรายได้ปีนี้เพิ่มขึ้น 39.6%

หุ้น CK โดยมองว่าจะได้ประโยชน์จากการเร่งรัดงบเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐปี’67 หนุนให้การประมูลโครงการรัฐมีมากขึ้น  งานปีนี้ที่รอประมูลได้แก่ รถไฟทางคู่ขอนแก่น-หนองคาย ทางด่วนจตุโชติ และ ทางด่วนกะทู้-ป่าตอง เป็นต้น นอกจากนี้ ในด้านต้นทุนพบว่าดัชนีวัสดุก่อสร้างที่ลดลงต่อเนื่องเป็นแรงหนุน

หุ้น CPALL ได้ประโยชน์หลักจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการกระตุ้นเศรษฐกิจ

หุ้น MINT ได้ประโยชน์จากธุรกิจโรงแรมในไทยและในยุโรปเติบโตดี ตอกเบี้ยจ่ายลดลง ธุรกิจอาหารต้นตัว

ทั้งนี้ แนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่เกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และหุ้นรายตัวที่มีภาระกู้ยืมสูง และหุ้นที่มีการเพิ่มทุน

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน เสนอให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ เดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานเก่าที่ยังค้าง เช่น EEC,Airport Link และท่าเรือน้ำลึก ตามด้วยนโยบายการช่วยลดหนี้ภาคครัวเรือน กระตุ้นการจ้างงานพร้อมพัฒนาแรงงานฝีมือและมาตรการเพิ่มกำลังซื้อ หรือ ช้อปช่วยชาติ ให้ยาวนานขึ้น จากเดิมที่ให้เวลาสั้นเกินไป ออกนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวมากขึ้น ดึงดูดเงินลงทุนทางตรงเข้ามาในประเทศ

ขณะที่ แนะนำการจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงเดือนเม.ย.-ธ.ค.2567 ด้วยการลงทุนในหุ้นต่างประเทศและกองทุนหุ้นต่างประเทศในสัดส่วน 28% ในกองทุนหุ้นสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี และ Selective Asia เช่น จีน อินเดีย เกาหลี เวียดนาม รองลงมาเป็นหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 23.46% แนะนำให้เพี่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค เงินทุน/หลักทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง และการท่องเที่ยว ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธนาคาร และประกันภัย ตามด้วยกองทุนตราสารหนี้ 23.54% ถือเงินสด/เงินฝากระยะสั้น 8.33% ทองคำและกองทุนทองคำ 7.81% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT 7.81% และสินทรัพย์อื่นๆ เช่น Bitcoin ,น้ำมัน 1.04%

ด้านนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ คาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 2 จะมีความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ตามปัจจัยดอกเบี้ยนโยบายที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น คาดว่ากนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลงไตรมาส 2 และรวมทั้งปีราว 0.5% อยู่ที่ระดับ 2.0% จึงได้มีการ Update สมมติฐานใหม่นี้เข้าไปใน Valuation Model ทำให้ระดับ PE ที่เหมาะสมของ SET ในแต่ละกรณีขยายตัวได้ราว 6% มาอยู่ที่ 14.2 เท่า , 13.2 เท่า  และ 12.3 เท่าในกรณีดีสุด, กรณีฐาน และกรณีแย่สุดตามลำดับ

“เราไม่ได้ปรับเพิ่มดัชนี SET ที่เหมาะสม หลังปรับลดคาดการณ์ EPS ปี 2568 ลงจากเดิมที่ 113 บาท เหลือเป็น 107 บาท เพื่อให้เข้าใกล้กับคาดการณ์ของ Consensus ณ ปัจจุบันมากขึ้น  คาดระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมในแต่ละกรณีจะอยู่ที่ 1520, 1415 และ1315 จุดในกรณีดีสุด, กรณีฐาน และกรณีแย่สุดตามลำดับ ซึ่งเป็นกรอบที่ใกล้เคียงกับที่เราให้ไว้ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา”

สถิติในอดีตการปรับลดดอกเบี้ยของไทย 3 ครั้ง เมื่อ ปี 2007, 2011 และปี 2019 มีผลกระทบต่อสินทรัพย์ต่างๆ ดังนี้ คือการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกของวัฎจักรนั้น นำมาสู่การปรับตัวขึ้นของ SET Index หลังจากนั้นจริง โดยเฉพาะหากไม่รวมปี 2019 ซึ่งมีผลกระทบของเหตุการณ์โควิด-19 เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทั้งนี้ หากดูเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรมที่มักปรับตัวโดดเด่นในช่วงก่อนหน้าการลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะได้แก่ HELTH, COMM, ICT และ FOOD ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่ม Domestic play แทบทั้งสิ้น ในขณะที่กลุ่มที่มักจะปรับตัวได้ดีภายหลังจากการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นแล้วจะได้แก่ COMM, HELTH, ETRON, ICT, TRANS ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีกลุ่มที่คาบเกี่ยวกันอยู่แล้วสามารถปรับตัว Outperform ได้ทั้ง 2 ช่วงก็คือ COMM, HELTH และ ICT เราแนะนำให้นักลงทุนพยายามหาจังหวะสร้าง Exposure ไปยัง 3 Sector นี้เพื่อรองรับการเตรียมเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงในช่วงถัดไป

นายณัฐชาต กล่าวว่า ด้วยมุมมองภาพรวมของ SET Index ในช่วงไตรมาสที่ 2 มีโอกาสที่จะแกว่งตัว Sideways ทำให้กลยุทธ์การเลือกหุ้นยังคงน่าสนใจ โดยคัดเลือก 5 ธีม ดังต่อไปนี้ 1.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยว เลือก AOT ที่ได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวทั้งขาเข้าและขาออกที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการฟรีวีซ่าไทย-จีน และเลือก AWC ที่ยังคงเป็นผู้เล่นที่ Laggard ในกลุ่มโรงแรม และเป็นตัวที่เริ่มเห็นการปรับประมาณการขึ้นในตลาด 2.หุ้นที่อิงกับอุปสงค์ภาคบริการในประเทศ เนื่องจากอุปสงค์ในส่วนนี้ยังคงเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เลือก BH เป็นตัวแทนของกลุ่มโรงพยาบาล และเลือก BJC ที่ยังคงเป็นผู้เล่นที่ Laggard ในกลุ่ม Consumer staple 3.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงถัดไป หลังพ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่ถูกบังคับใช้เป็นผลสำเร็จในช่วงต้นไตรมาส 2 นี้ เลือก STEC เป็นตัวแทนของกลุ่มรับเหมาฯ และ GLOBAL เป็นตัวแทนของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง 4. หุ้นกลุ่มส่งออกที่พบว่ามีสินค้าบางสินค้าที่ขยายตัวได้อย่างน่าสนใจ อาทิ ถุงมือยางและเครื่องปรุงรสอาหาร STGT และ XO 5.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน เลือก IVL และ SCGP เป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์ ที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจจีนในระดับสูง

สำหรับการลงทุนในเดือนเม.ย.คาดตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวออกด้านข้างต่อไป ท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่เบาบางจากเทศกาลหยุดยาว แต่จะมีปัจจัยชี้ชะตาที่สำคัญคือการประชุมกนง.ที่รออยู่ในวันที่10 เม.ย. หากมีการลดดอกเบี้ย ประเมินจะเป็นปัจจัยลบต่อ Fund flow ค่าเงินบาท รวมถึงดัชนี SET ได้ ผ่านการปรับตัวกว้างขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ประเมินกรอบการแกว่งตัวของดัชนีเดือนนี้ที่ระดับ 1,350-1,410 จุด  แนะนำถือหุ้นในส่วนเดิมได้ต่อไป หลังจากที่ได้มีการเพิ่มน้ำหนักบางส่วนไปที่ระดับดัชนี SET 1,370 จุดเมื่อเดือนที่ผ่านมา มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ 1.กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง ตามความคาดหวังการเบิกจ่ายภาครัฐ อาทิ CK, STEC, GLOBAL, DOHOME 2 .กลุ่ม Consumer staple ตามพัฒนาการของมาตรการ Digital Wallet อาทิ CPALL, CPAXT, BJC 3.กลุ่มเครื่องดื่ม ตามสภาวะอากาศที่เข้าสู่ช่วงร้อนจัด ได้แก่ ICHI, SAPPE 4.กลุ่มส่งออกที่เห็นการขยายตัวดี ได้แก่ AAI, ITC, STGT, TU, XO