ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 1,016 จุด หวังสงครามการค้าคลี่คลาย

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดพุ่ง ดาวโจนส์ทะยาน 1,016 จุด นักลงทุนหวังสถานการณ์การค้าคลี่คลาย หลังรมว.คลังแย้มสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนคาดว่าจะคลี่คลายลง ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวเพิ่มขึ้น ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวกเล็กน้อย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 22 เมษายน 2568 ปิดที่ 39,186.98 จุด เพิ่มขึ้น 1,016.57 จุด หรือ +2.66% นักลงทุนต่างมีความหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงในหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสงครามการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ กล่าวกับนักลงทุนในวันอังคารว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนคาดว่าจะคลี่คลายลง

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,287.76 จุด เพิ่มขึ้น 129.56 จุด, +2.51%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,300.42 จุด เพิ่มขึ้น 429.52 จุด, +2.71%

แหล่งข่าวซึ่งอยู่ในการประชุมนักลงทุนซึ่งธนาคาร JPMorgan Chase จัดขึ้นที่กรุงวอชิงตันเมื่อวานนี้ เปิดเผยว่า เบสเซนต์ กล่าวกับนักลงทุนว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนไม่อาจดำเนินต่อไปได้ และคาดหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะคลี่คลายความตึงเครียดในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากจีนและสหรัฐฯ มีข้อห้ามระหว่างอันเนื่องจากภาษีศุลกากรที่สูงมาก

เบสเซนต์ กล่าวกับนักลงทุนว่า เป้าหมายคือการสร้างสมดุลใหม่ให้กับการค้า ไม่ใช่การแตกหักอย่างรุนแรงหรือการแยกตัวออกจากกันอย่างสมบูรณ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ตามเบสเซนต์บอกว่าการเจรจาในอนาคตกับจีนว่าเป็น “งานหนัก” ที่ยังไม่ได้เริ่มต้น

ความเห็นของเบสเซนต์ทำให้ตลาดปรับตัวขึ้น โดยในฃ่วงหนึ่งดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 1,100 จุดก่อนที่จะอ่อนตัวลง

หุ้นที่เชื่อมโยงกับจีนอย่างใกล้ชิดได้รับแรงหนุนจากข่าวนี้ โดยกองทุน iShares China

Large-Cap ETF และกองทุน iShares MSCI China ETF ต่างก็ปรับตัวขึ้นประมาณ 3%

เจด เอลเลอร์โบรก ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ Argent Capital Management กล่าวว่าเห็นได้ชัดว่า เบสเซนต์ พยายามส่งสัญญาณผ่านความเห็น และสัญญาณนั้นดูเหมือนว่ารู้ว่าเรื่องนี้กำลังมีผลต่อตลาด และกำลังรีบสรุปเรื่องนี้ ตลาดจะตีความว่าเป็นข่าวดีที่จะทำให้ตลาดปรับตัวขึ้น และปรับคาดการณ์ว่าสงครามการค้าครั้งนี้จะจบลงที่ไหนในอีกสองสามเดือนข้างหน้า

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การเติบโตในสหรัฐ จีน และประเทศส่วนใหญ่ เมื่อวันอังคาร โดยอ้างถึงผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้สูงที่สุดในรอบ 100 ปี

IMF คาดว่าการเติบโตของสหรัฐฯในปีนี้ จะลดลงเกือบ 1%จากประมาณการก่อนมีภาษีศุลกากรเหลือ 1.8% จากความไม่แน่นอนของนโยบายที่เพิ่มขึ้น ความตึงเครียดทางการค้า และการคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะลดลง และ ในปี 2569 คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 1.7%

อย่างไรก็ตามตลาดอ่อนตัวลงเล็กน้อยในช่วงบ่ายก่อนปิดในทิศทางที่สูงขึ้น จากการที่โฆษกทำเนียบขาว แคโรไลน์ ลีวิตต์ บอกกับนักข่าวว่าเธอได้พูดคุยกับทรัมป์และเควิน แฮสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ เกี่ยวกับธนาคารกลางสหรัฐ และทั้งคู่แสดงความสงสัยเกี่ยวกับการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ในเรื่องอัตราดอกเบี้ย ทำให้เกิดความกังวลอีกครั้งว่าทำเนียบขาวอาจพยายามบั่นทอนความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ

นายนีล คาชการี ประธานเฟดประจำมินนิอาโปลิส กล่าวว่าความเป็นอิสระของนโยบายการเงินของเฟดถือเป็นรากฐานและเป็นปัจจัยสำคัญต่อผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึง Apple ซึ่งเพิ่มขึ้น 3.4% หุ้น Tesla พุ่งขึ้นกว่า 6% ในช่วงบ่ายก่อนการรายงานผลประกอบการหลังตลาดปิด

หุ้นบริษัทผลิตแผงโซลาร์ปรับตัวขึ้นหลังสหรัฐสรุปอัตราภาษีที่จะเรียกเก็บจากโซลาร์ที่ผลิตในเอเชียตะวันออเฉียงใต้ศุงถึง 3.500% โดยหุ้น First Solar พุ่งขึ้นกว่า 9% หุ้น Sunnova Energy พุ่งขึ้นมากกว่า 12% หุ้น SolarEdge Technologies หุ้นArray Technologies และ หุ้นEnphase ก็พุ่งขึ้นเช่นกัน

ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน หุ้น 3M พุ่งขึ้น 8.1% หลังจากเปิดเผยกำไรในไตรมาส 1 สูงเกินคาด แต่คาดการณ์ว่ากำไรในปีบัญชี2025 อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากร

ตลาดหุ้นยุโรปบวกเล็กน้อย จากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้น L’Oreal แม้ว่าบรรยากาศการลงทุนจะยังคงสั่นคลอนหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ วิจารณ์นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

หุ้น L’Oreal ยักษ์ใหญ่ด้านความงามพุ่งขึ้น 6.3% เป็นการเพิ่มขึ้นในวันเดียวสูงสุดในรอบเกือบ 7 เดือน หลังรายงานยอดขายไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นเกินคาด ซึ่งเป็นความสดใสของภาคส่วนนี้

หลังจากที่กลุ่มสินค้าหรูหรา LVMH รายงานการเติบโตที่ชะลอลงของ Sephora เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
กลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 0.7% กลุ่มทรัพยากรเพิ่มขึ้น 1.2% จากราคาโลหะที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดด้านการค้าโลกที่เพิ่มสูงขึ้นยังคงเป็นประเด็นที่นักลงทุนกังวล เนื่องจากนักลงทุนกลับมาซื้อขายจากช่วงสุดสัปดาห์อีสเตอร์ที่นาน

ในขณะเดียวกันทรัมป์โจมตีพาวเวลล์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเรียกร้องให้ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความกังวลต่อความเป็นอิสระของเฟดมากยิ่งขึ้น
หุ้นบริษัทประกันภัย Helvetia และ Baloise ของสวิสพุ่งขึ้น 2.6% และ 4.7% ตามลำดับ หลังจากที่ทั้งสองบริษัทประกาศจะควบรวมกิจการ ทำให้กลายเป็นกลุ่มบริษัทประกันภัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสวิส โดยมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันประมาณ 20%

หุ้น บริษัทผลิตยา Novo Nordisk ของเดนมาร์กร่วงลง 7.4% สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 หลังจากผลการทดลองยาลดน้ำหนักและน้ำตาลในเลือดของคู่แข่งในสหรัฐฯ อย่าง
Eli Lilly แสดงให้เห็นว่ายาตัวนี้ได้ผลดีพอๆ กับยาขายดีอย่าง Ozempic ของ Novo Nordisk

กลุ่มเฮลธ์แครลดลง 0.6%

ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ 507.71 จุด เพิ่มขึ้น 1.29 จุด, +0.25%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,328.60 จุด เพิ่มขึ้น 52.94 จุด, +0.64%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,326.47 จุด เพิ่มขึ้น 40.61 จุด, +0.56%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 21,293.53 จุด เพิ่มขึ้น 87.67 จุด, +0.41%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 1.23 ดอลลาร์ หรือ 1.95% ปิดที่ 64.31 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 1.18 ดอลลาร์ หรือ 1.78% ปิดที่ 67.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล